จากสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงการเร่งคลอดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องของรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกระแสที่สร้างความคาดหวังมากที่สุด คือ โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำให้นักลงทุนก็มีความคาดหวังว่ากลุ่มหุ้นค้าปลีกจะมีผลการดำเนินงานที่ดี
แต่ด้วยในช่วงไตรมาส 3/67 เป็นโลวซีซันของธุรกิจค้าปลีก ด้วยปัจจัยของฤดูกาลทำให้เป็นอุปสรรคต่อการออกมาจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค รวมถึงผลกระทบจากอุทกภัย ทำให้คาดว่าอาจมาฉุดผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 ของกลุ่มหุ้นค้าปลีก และคาดว่ากำไรออกมาอาจไม่เหมือนที่วาดฝันไว้
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดผยว่า ตามปกติแล้วในไตรมาส 3/67 จะเป็นโลวซีซันของธุรกิจค้าปลีก ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่มหุ้นดังกล่าวที่กำลังจะเริ่มทยอยประกาศออกมาอาจทำได้ไม่ดีนักในไตรมาส 3/67 แต่เชื่อว่าจะกลับมามีการเติบโตที่ชัดเจนในไตรมาส 4/67
โดยทางฝ่ายได้แบ่งหุ้นกลุ่มค้าปลีกออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
มองว่ากลุ่มหุ้นค้าปลีกสินค้าอุปโภค-บริโภค จะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยหนุนให้ความต้องการบริโภคและจับจ่ายใช้สอยขยายตัว รวมถึงการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยตัวเลขนับตั้งแต่ต้นปี 67 จนถึงปัจจุบันขยายตัวอยู่ที่กว่า 26 ล้านคน จากเป้าหมายทั้งปีนี้ที่ 35 ล้านคน
คาดว่ากำไรสุทธิ CPAXT ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 17% จากไตรมาสก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จะมาจากยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ที่เป็นบวก และ อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการใช้กลยุทธ์เน้นขายอาหารสด
ส่วนกำไรที่ลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเกี่ยวกับการควบกิจการ และกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่รับรู้จากตราสารอนุพันธ์ แต่หากตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ออก คาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 2% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรปกติในงวด 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน
รายได้ของยอดขายของ CPAXT ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 1.228 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 1% จากไตรมาสก่อน จาก Same-store-sales (SSS) ที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจค้าส่ง และค้าปลีก ที่จะขยายตัว 3.5% ในไตรมาส 3/67 ทำให้ยอดขายในงวด 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 3.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
คาดว่ากำไรสุทธิของ CPAXT จะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/67 เนื่องจาก 1) กำลังจะเข้าสู่ช่วง peak ตามฤดูกาลของการเดินทาง และ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีการซื้อสินค้าไปให้บริการลูกค้าในปริมาณที่สูงขึ้น 2) อุปสงค์ที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวขึ้นจากมาตรการกระตุ้นชุดล่าสุดของรัฐบาล และ 3) จะได้อานิสงส์บางส่วนจากการควบรวม
อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายคาดกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 10,248 ล้านบาท และในปี 68 จะเพิ่มเป็น 12,511 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปี ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ 39.00 บาท
ในส่วน CPALL ทางฝ่ายคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
คาดว่ารายได้รวมบริษัทในเครือในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 2.39 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่หดตัว 1% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่เป็นบวกทั้งในส่วนของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และ CPAXT CP Axtra คาดว่า Same-store-sales growth (SSSG) ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ประมาณ 3.5% เพิ่มขึ้นจะมาจาก
ทางฝ่ายยังมองบวกต่อแนวโน้มในไตรมาส 4/67 จาก 1) มาตรการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลชุดล่าสุด 2) โมเมนตัมบวกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในงวด 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 26 ล้านคน และ 3) เข้าสู่ช่วง peak ตามฤดูกาล โดยประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 67 เอาไว้ที่ 22% จากปีก่อน ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ 80.00 บาท
ต้องยอมรับว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มหุ้นค้าปลีกวัสดึก่อนสร้างในช่วงไตรมาส 3/67 อาจออกมาไม่ได้ดีเท่าที่ควร ตามปัจจัยฤดูกาลซึ่งเป็นปกติของทุกปี แต่ปีนี้มีเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของไทย ทำให้บางสาขาอาจได้รับผลกระทบ กดดันต่อยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) หดตัว
ทั้งนี้ ทางฝ่ายคาด HMPRO จะรายงานกำไรในไตรมาส 3/67 ที่ 1.4 พันล้านบาท หดตัว 4% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และลดลง 9% จากไตรมาสก่อน) โดยกำไรลดลงจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากยอดขายต่อสาขา (SSS) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่กำไลดลงจากไตรมาสก่อน จะเป็นผลของปัจจัยฤดูกาล
ทำให้กำไรในช่วง 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ทั้งนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าลงกับสถานการณ์น้ำท่วม ทางฝ่ายคาดยอดขายสาขาเดิมของ HMPRO ชะลอตัว 5% ในไตรมาส 3/67
โดยคาดยอดขายในไตรมาส 3/67 ที่ 1.68 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน ทำให้ยอดขายใน 9 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ 5.19 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
คาดกำไรไตรมาส 4/67 ของ HMPRO จะเพิ่มขึ้นจากผลของปัจจัยฤดูกาล, สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น, นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีความเป็นไปได้ที่อุปสงค์ซ่อมแซมบ้านจะเพิ่มหลังน้ำท่วม อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรปี 67 เติบโตอยู่ที่ 4% โดยประเมินราคาเป้าหมายปลายปี 68 ที่ 12.00 บาท
ขณะที่ DOHOME คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 51% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และคาดว่ายอดขายของ DOHOME ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 7.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน หดตัว 5% จากไตรมาสก่อน
ทำให้ยอดขายในช่วง 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านบาท หดตัว 1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ทั้งนี้ แม้ว่าอุปสงค์จากภาครัฐจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จเรียบร้อย แต่อุปสงค์จาก end-user น่าจะชะลอตัวลงในช่วงที่ประสบภาวะน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้ SSS ในไตรมาส 3/67 ยังคงอ่อนแอโดยติดลบประมาณ 6%
ทางฝ่ายยังคงมองว่าอุปสงค์จะพุ่งสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 ต่อเนื่องถึงปี 68 เนื่องจาก 1) อุปสงค์หลังน้ำท่วม และ 2) การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ มองว่าอัตรากำไรขั้นต้นยังมี downside อยู่บ้างจาก 1) อุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแอลงอีกใน ไตรมาส 3/67 และ 2) ราคาเหล็กที่ลดลงเนื่องจากอุปสงค์อ่อนแอ และอุปทานล้นตลาด
ทั้งนี้ World steel Association คาดว่าอุปสงค์เหล็กจะโตเพียง 2% ในปี 67 และ 1% ในปี 68 คาดว่าอุปสงค์จากจีน (ประเทศที่ใช้เหล็กมากถึง 50% ของอุปสงค์รวมทั้งโลก) จะลดลงตามการลงทุนในภาคอสังหาฯ ที่หดตัว เพราะยอดขายเหล็กคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขาย DOHOME จึงคาดว่าแนวโน้มราคาเหล็กที่ลดลงจะกดดันอัตรากำไรของ DOHOME อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ลงเหลือ 10.90 บาท
ด้านกำไรสุทธิของ GLOBAL ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 498 ล้านบาท ลดลง 5% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และหดตัว 35% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 2 พันล้านบาท ลดลง 6% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน คาดว่า SSS จะหดตัวในไตรมาส 3/67 แต่มีสัญญาณดีขึ้นจากเดือนก่อน
คาดว่ายอดขายของ GLOBAL ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท ทรงตัวจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ลดลง 16% จากไตรมาสก่อน ทำให้ยอดขายใน 9 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ 2.48 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
อย่างไรห็ตาม ทางฝ่ายยังคงคาดว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/67 และ ปี 68 เนื่องจาก 1) คาดว่าการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลจะเร่งตัวขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวไปในปี 67 (ที่ 47.5%) และ 2) คาดว่าอุปสงค์จะเร่งตัวขึ้นหลังน้ำท่วมเพราะประมาณ 60% ของสาขาร้าน GLOBAL อยู่ในภาคเหนือ และ อีสาน
ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรสุทธิของ GLOBAL จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/67 (โดยจะเพิ่มขึ้นทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และจากไตรมาสก่อน) และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 11% ในปี 68 ทั้งนี้ ทางฝ่ายประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ 17.00 บาท
มองว่าจากการเปิดตัวอุปกรณ์รุ่นใหม่ตามฤดูกาล และการเปลี่ยนเครื่องมาใช้เครื่องที่รองรับ AI โดยต่อจากนี้มองว่า Generative AI จะขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขาย และได้รับอานิสงส์จากการที่แอปเปิลได้เปิดตัวเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้ชื่อ Apple Intelligence ที่พัฒนาเพื่อเตรียมให้บริการผ่าน iPhone รุ่นใหม่
นอกจากนี้ ยังมองว่าจะมีการนำเอาโน๊ตบุ๊คที่มีการนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ในการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของผู้บริโภคได้อยากตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทำให้คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/67 ทั้ง 2 ปัจจัยที่กล่าวมาในข้างต้นจะเข้ามาช่วยหนุนรายได้จากการขายและกำไรสุทธิให้มีการเติบโตที่โดดเด่นในปีนี้
โดยมองว่า ในไตรมาส 3/67 SYNEX จะดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ยังคงเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายปี 67 ไว้ที่ 10% เพราะยอดขายตั้งแต่เดือน ก.ต.-ก.ย. เพิ่มขึ้นทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และจากไตรมาสก่อน แม้ว่า iPhone 16 จะยังไม่วางจำหน่าย เพราะอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากสินค้าในกลุ่มที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร
บริษัทคาดว่ายอดขายจะดีในช่วงครึ่งหลังปี 67 และคงเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายปีนี้เอาไว้ที่ 10% เนื่องจาก 1) จะมีการออกสินค้ารุ่นใหม่ 2) มีการอัพเดตรอุปกรณ์ที่รองรับ AI และ 3) ผลจากปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะมีการหักล้างกันเองระหว่างสินค้าที่มี margin สูง อาทิ สินค้าแบรนด์ exclusive และสินค้ากลุ่มที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ และ สินค้าที่ margin ต่ำ (สินค้าค่าย Apple)
ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SYNEX ในครึ่งหลังปี 67 จะเพิ่มขึ้นทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 67-69 ขึ้นอีก 3-7% ทำให้กำไรจากธุรกิจหลักของ SYNEX ในปีนี้เพิ่มขึ้น 23% และปี 68 เพิ่มขึ้น 20% โดยทางฝ่ายประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ไว้ที่ 17.20 บาท
ในขณะที่ทาง บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดการณ์กำไรหลักของ COM7 ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 1% จากไตรมาสก่อน โดยอิงจากรายได้ 1.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เติบโต 3% จากไตรมาสก่อน
จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 3/66 มีร้านค้า 42 แห่งปิดเพื่อรีโนเวท ขณะที่การเติบโตของรายได้จากไตรมาสก่อน น่าจะได้รับแรงหนุนจากยอดขาย OPPO Reno 12 Series ( สมาร์ตโฟน AI ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 12,000 บาท) และการเปิดตัวโทรศัพท์หน้าจอพับโดย Samsung, Huawei และ Xiaomi
ทางฝ่ายเห็นปัจจัยขับเคลื่อนรายได้สองประการสำหรับ COM7 ในครั้งหลังปี 67 และปี 68 ได้แก่ อุปกรณ์ AI และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีมุมมองบวกต่อการเปิดตัว iPhone 16 ที่ติดตั้ง AI ในช่วงกลางเดือนก.ย. 67 เนื่องจากสมาร์ทโฟน AI ในตลาดได้รับการตอบรับที่ดี ทางฝ่ายประเมินราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 25.20 บาท
สำหรับ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) คาดกำไรปกติ ADVICE ในไตรมาส 3/67 จะอยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 27.2% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยกำไรที่เติบโตจากไตรมาสก่อน มาจากผลของฤดูกาล ส่วนกำไรที่เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน มาจาก GPM ที่ขยายตัวเด่น
ทางฝ่ายคาดกำไรปกติไตรมาส 4/67 เติบโตเด่นจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แรงหนุนจากสินค้ากลุ่ม AI เข้าสู่ตลาด และการเติบโตของยอดขายกลุ่ม iPhone เป็นปีแรก และประมาณการปี 67-68
แม้ว่าคาหุ้นปรับขึ้บขึ้นมาร้อนแรง YTD แต่ยังมี Upside ให้ลงทุนได้ แนวโน้มกำไรที่ยังแข็งแกร่งอย่างน้อยในช่วงไตรมาส 3/67และไตรมาส 4/67 และกระแสของ AI ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นขึ้นคาดจะเห็นชัดเจนในปี 68 ทำให้หุ้นยังมี Momentum ไปต่อได้ อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายปรับไปใช้ราคาเหมาะสมกลางปี 68 ที่ 7.20 บาท
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นล่าสุด CPALL ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 63.75 บาท ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 1,324.48 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 572,672.71 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPAXT ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 32.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง 1.55% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 156.59 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 341,505.92 ล้านบาท
ราคาหุ้น HMPRO ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 9.30 บาท ลดลง 0.35 บาท เปลี่ยนแปลง 3.63% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 307.04 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 122,306.14 ล้านบาท
ราคาหุ้น DOHOME ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 9.70 บาท ลดลง 0.10 บาท เปลี่ยนแปลง 1.02% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 39.53 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 31,326.49 ล้านบาท
ราคาหุ้น GLOBAL ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 15.70 บาท ลดลง 0.10 บาท เปลี่ยนแปลง 0.63% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 74.79 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 81,669.21 ล้านบาท
ราคาหุ้น SYNEX ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 15.30 บาท ลดลง 0.20 บาท เปลี่ยนแปลง 1.29% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 14.49 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 12,964.63 ล้านบาท
ราคาหุ้น COM7 ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท เปลี่ยนแปลง 3.92% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 289.02 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 63,599.95 ล้านบาท
ราคาหุ้น ADVICE ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.67 อยู่ที่ระดับ 6.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท เปลี่ยนแปลง 2.33% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 48.25 ล้านบาท โดยมี Market cap. อยู่ที่ 4,092.00 ล้านบ