ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่ง Sideway กรอบ 1,430-1,460 จุด ติดตามยอดส่งออกไทย

26 พ.ย. 2567 | 02:51 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ย. 2567 | 02:51 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด SET Index วันนี้แกว่ง Sideways ในกรอบ 1,430-1,460 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับบวกกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ คนใหม่ ความวุ่นวายในตะวันออกกลางมีโอกาสผ่อนคลายสั้น ฉุดราคาน้ำมัน ทองคำย่อ ส่วนไทยวันนี้คาดยอดส่งออก ต.ค. โต 5.1% วันนี้แนะนำ OSP

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาด SET วันนี้ “Sideways” ในกรอบ 1,430-1,460 จุด วานนี้ (25 พ.ย.67) มีการรายงานจากเอกอัครราชฑูตอิสราเอลประจำสหรัฐ กล่าวว่า อิสราเอลใกล้จะบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงชั่วคราวกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในอีกไม่กี่วันนี้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง มองว่าจะส่งผลให้สถานการณ์ความวุ่นวายผ่อนคลายลงในระยสั้น ซึ่งล่าสุดพบว่าราคาน้ำมันดิบวานนี้ย่อราว -2.8% จากวันก่อน และราคาทองคำ ย่อแรงกว่า -3% จากวันก่อน

ส่วนด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ขานรับประเด็นบวกจากการที่ โดนัล ทรัมป์ ตัดสินใจเลือก สก๊อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และมีผลต่อตลาดทุนค่อนข้างมาก ซึ่งสอดคล้องกับ สก๊อตต์ เบสเซนต์ ที่มีประสบการณ์ในการบริหาร Hedge Fund ระดับโลก ซึ่งได้รับการยอมรับในวงกว้าง

สำหรับปัจจัยในประเทศที่น่าติดตามวันนี้ คือ การรายงานยอดการส่งออกไทย ประจำเดือน ต.ค. โดยตลาดคาดที่ราว 2.49 หมื่นล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากเดือน ก.ย. ที่ระดับ 2.59 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ยังถือเป็นระดับที่ดี ถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของ GDP ไทย

นอกจากนี้ ทางฝ่ายยังคงแนะจับตาการประชุม ครม.วันนี้ ว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 

ปัจจัยที่ต้องจับตา

26 พ.ย.67

  • ส่งออกไทย
  • ยอดขายบ้านใหม่ สหรัฐฯ 
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สหรัฐฯ
  • รายงานการประชุม FED รอบล่าสุด 

27 พ.ย.67

  • ผลผลิตภาคอุตสาหรรมไทย & จีน 
  • GDP ไตรมาส 3/67 สหรัฐฯ (ครั้งที่ 2)
  • ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน สหรัฐฯ, ผู้ขอรับสวัสดิการ
  • รายสัปดาห์ สหรัฐฯ, Core PCE สหรัฐฯ

หุ้นเด่นแนะนำ

  • OSP ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 26.75 บาท คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 กลับมาฟื้นตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากกำลังซื้อที่คาดจะปรับตัวขึ้น โดยมีการทยอยออกสินค้าใหม่ นอกจากนี้ยังคาดผ่านพ้นแรงกดดันจากการตั้งด้อยค่าต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ไตรมาส 4/67 จะมีกำไรพิเศษเพิ่มเติมจากการขายโรงงานขวดแก้วราว 130 ล้านบาท ผสานกับ Valuation ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบอดีต และส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง เดือน ต.ค. กลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 45% จาก 44.8%
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • AP ราคาเป้าหมาย 11.5 บาท คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะขยายตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ทำจุดสูงสุดของปี จากการรอโอน backlog ในไตรมาส 4 ที่สูงราว 1.18 หมื่นล้านบาท ผสานแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/67 กว่า 13 โครงการ มูลค่าราว 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนภาพปี 68 คาดกลับมาเติบโตได้ 9% Valuation ปัจจุบันเทรด PE2025 ที่เพียง 4.8 เท่า ขณะคาดอัตราปันผลสูงราว 7% ต่อปี  
  • DOHOME ราคาเป้าหมาย 12 บาท แนวโน้มยอดขายสาขาเดิมในช่วงเดือน ต.ค. และ พ.ย. มีทิศทางขยายตัว หนุนโอกาส SSSG ในช่วงไตรมาส 4/67 พลิกกลับมาเป็นบวก แรงหนุนจากเงินเบิกจ่ายภาครัฐฯที่กลับมาเร่งตัวขึ้น ผสานการซ่อมแซมบ้าน หลังผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงไตรมาส 3/67 อีกทั้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น กว่าในช่วงไตรมาส 3/67 จากราคาเหล็กที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 1,491 ล้านบาท ขยายตัว 16% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 3% จากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อน และ15% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ผสานกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้ Stage 2 ลดลงสู่ระดับ 8% ของสินเชื่อรวม จาก 9% ในไตรมาส 2/67  และอัตราส่วน NPL ลดลงสู่ระดับ 2.82% จาก 2.88%
  • WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV บริษัทตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.
  • AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ยังคงขยายตัวได้ดี โดยประเมินยอดโอนที่ดินคาดจะสูงขึ้น โดยมี Backlog ล่าสุดสูงราว 1.94 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ คาดจะหนุนโอกาสการย้ายฐานการผลิตจากจีนและไต้หวันเข้าสู่ไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณของอัตรากำไรขั้นต้นที่มีทิศทางที่ขยับสูงขึ้นเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม