ปีนี้ตลาดคริปโตผันผวนอย่างหนัก โดยทยอยเกิดปรากฎการณ์สำคัญมากมายขึ้นมา การล่มสลายของ LUNA ที่ส่งผลต่อเนื่องให้เหล่านักลงทุนสถาบัน อย่าง 3AC, Celcius และอื่นๆ ล้มหายตายจาก ล่าสุด ที่สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับวงการคริปโต คือ การล้มละลาย ของ FTX กระดานซื้อขายคริปโตรายใหญ่ ที่ถูกเปิดโปงถึงการกระทำที่ไม่โปร่งใส และกำลังส่งผลไปถึงไบแนนซ์ ที่กำลังถูกท้าทายจากนักลงทุนเรื่องความโปร่งใส่
นายสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทคริปโตมายด์แอดไวเซอรี่ จำกัด หรือ Cryptomind ที่ปรึกษาด้านการลงทุนทรัพย์ดิจิทัลครบวงจร เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลช่วงปลายปีนี้ย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์ โดยปรากฏการณ์การล่มละลายของ FTX ที่ประกาศล้มละลาย ส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่น และกำลังลามไปถึงไบแนนซ์ กระดานซื้อขายอันดับหนึ่งของโลก ที่มีนักลงทุนได้แห่ถอนคริปโต สูงถึง 1,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3.94 หมื่นล้านบาท ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง แม้จะไม่มาก โดยไบแนนซ์มีสินทรัพย์เพียงพอรองรับ แต่นักลงทุนยังไม่เชื่อมั่น เรียกร้องให้มีการตรวจสอบสินทรัพย์ดิจิทัลบนไบแนนซ์ เนื่องจากหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับ FTX
“ฟองสบู่คริปโตแตก เพราะแพลตฟอร์มที่นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปปล่อยกู้ โดยที่มีสินทรัพย์น้อยกว่าจำนวนการกู้ยืมที่เข้ามา คาดว่านักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจะต้องรอกระบวนการการพักชำระหนี้เป็นเวลายาวนานกว่าจะได้รับเงินทุนคืน อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดคริปโตยังมีอนาคต โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะช่วยตลาดมีการปรับตัว และคัดกรองผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่ไม่มีการจัดการบริหารความเสี่ยงที่ดี และ ผู้ให้บริการที่มีมูลค่าเกินความเป็นจริงออกไป เหลือแต่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง และมีความโปร่งใส และคาดว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่ๆ เข้ามาลงทุน ซึ่งคาดว่าความเชื่อมั่นและสถานการณ์ของตลาดคริปโตจะเริ่มกลับมาประมาณไตรมาส 3-4 ปี 2566”
นายสัญชัย กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับการลงทุนช่วงนี้นั้นน่าจะเป็นโอกาสทองของผู้ที่ต้องการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลระยะยาว เพราะราคาสินทรัพย์ดิจิทัลลดลง โดยบิตคอยน์ลงมาอยู่ที่ 1.6-1.7 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หรีอ ประมาณ 5.57-5.92 แสนบาท ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าราคาบิตคอยน์จะลงไปถึงจุดต่ำว่าที่ 1.2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.18 แสนบาท ส่วนกลุ่มนักลงทุน ที่ต้องการเก็งกำไร หรือลงทุนระยะสั้น ตรงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะตลาดมีความผันผวนสูง และต้องระมัดระวังการลงทุน
ด้านนายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้ศูนย์แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้ชื่อ “อัพบิต” กล่าวว่าสถานการณ์คริปโตขณะนี้อยู่ในช่วงขาลงทุน โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งตลาดหุ้น และคริปโต ขณะที่การประกาศล้มละลายของ FTX กระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ของโลก ที่ทำหลายอย่างที่ไม่ควรทำนั้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และขณะนี้กำลังสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปถึงไบแนนซ์ ที่ผู้ใช้ขาดความเชื่อมั่น หวั่นว่าจะดำเนินการในลักษณะเดียวกับ FTX และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ รวมถึงการกำกับดูแล
“ในช่วงตลาดหมี เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับนักลงทุนที่ถือเงินเย็นอยู่เข้าไปลงทุน แต่ขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าลงทุน ส่วนสถานการณ์ดังกล่าวจะรากยาว หรือส่งกระทบไปถึงช่วงเวลาไหนนั้นขณะนี้ ยังตอบลำบาก โดยการเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับมานั้นต้องใช้เวลา แต่ยังเชื่อว่าตลาดคริปโตยังมีอนาคต หลังจากนี้เชื่อว่าจะมีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแล ผู้ให้บริการ หรือ แพลตฟอร์ม ที่โมเดลการทำธุรกิจไม่สมเหตุสมผล ดำเนินธุรกิจคล้ายแชร์ลูกโซ่ มีการประเมินมูลค่าธุรกิจสูงกว่ามูลค่าธุรกิจที่แท้จริงจะค่อยๆ หายไปจากตลาด เหลือแต่ของจริง ที่ให้บริการ มีกลไกการตรวจสอบ”
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมคริปโตยังมีช่องว่างด้านกฎระเบียบมากมาย ทำให้เกิดข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรกำลังดำเนินการในประเด็นนี้
ส่วนศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษา Forward กล่าว่าสถานการณ์ตลาดคริปโตในปี 2566 น่าจะยังคงต้องระมัดระวัง และจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งน่าจะยังไม่สามารถเห็นการฟื้นตัวของราคาที่ปรับเป็นขาขึ้น อย่างน้อยก็ในครึ่งปีแรก เนื่องจากทั้งความกดดันของมาตรการของ FED ที่ยังคงอยู่ รวมไปถึงความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการล่มสลายของ FTX และ Alameda Research
ทั้งนี้นักลงทุนจำนวนมากยังมีความกังวลกับโดมิโน่ที่จะตามมา รวมถึงยังไม่มีความมั่นใจในผู้เล่นเจ้าใหญ่ต่างๆ ว่ายังมีความสูญเสียที่ซ่อนไว้อยู่อีกหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น Genesis แพลตฟอร์มที่เป็น Prime Broker ขนาดใหญ่ในวงการคริปโตของโลก ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจาก ทั้งการที่มีเงินติดอยู่ใน FTX และมีการปล่อยกู้จำนวนมากให้กับ Alameda นอกจากนี้ Genesis เองก็มีธุรกรรมมากมายกับสถาบันต่างๆ ทั้งในและนอกกลุ่มคริปโต มากกว่านั้นยังมี Greyscale ที่เป็น Bitcoin Trust ที่ครอบครอง BTC อยู่ถึง 3% ของ BTC ทั้งโลก ที่เปิดให้นักลงทุนสถาบันจำนวนมากสามารถเข้ามาถือ BTC ได้ ซึ่งสูญเสียความเชื่อมั่น และไม่ยอมที่จะแสดงหลักฐานของการถือ BTC ทำให้ราคา BTC ที่เป็นหน่วยลงทุนของ Greyscale ลดลงต่ำกว่าตลาดถึง 45% ทั้งๆ ที่เคยมีราคาสูงกว่าตลาดมาโดยตลอด
การลงทุนในปีหน้าช่วงต้นปี คงยังต้องทำด้วยความระมัดระวัง จากแรงกดดันตลาดต่างๆ รวมถึงความเป็นไปได้ในการผลุดขึ้นมาของบริษัทต่างๆ ที่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม ซึ่งน่าจะได้เห็นบทเรียนจากตลาดแล้วว่า เรื่องเซอร์ไพรซ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้เสมอ Exchange ที่ใหญ่อันดับสองของโลก ยังล่มสลายได้ในสามวัน ราคา Token FTT ที่ลดลงเกือบจะ 100% ในเวลาอันสั้น สิ่งเหล่านี้น่าจะตอกย้ำถึงความเสี่ยง และความไม่แน่นอนในตลาด การบริหารความเสี่ยง ไม่ลงทุนหรือเก็งกำไรจนเกินตัว น่าจะเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับตลาดในครึ่งปีหน้า”