ไทยยูเนียนเผยโครงการข้อตกลงร่วมกรีนพีซเป็นตามเป้า

23 พ.ค. 2561 | 14:34 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ค. 2561 | 21:34 น.
ไทยยูเนี่ยน เผยโครงการตามข้อตกลงร่วมกับกรีนพีซ เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจอาหารทะเลที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคมคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยการดำเนินงานร่วมกับกรีนพีซตามข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทั้งด้านมาตรการแก้ไขการทำประมงที่ผิดกฎหมายและการทำประมงที่มากเกินไป รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของแรงงานหลายแสนคนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

ข้อตกลงระหว่างไทยยูเนี่ยนและกรีนพีซเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 โดยไทยยูเนี่ยนให้คำมั่นในการดำเนินการตาม SeaChange® กลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท ซึ่งครอบคลุมถึงความพยายามในการสนับสนุนการประมงตามแนวปฏิบัติที่ดี การปรับปรุงการประมงในด้านอื่นๆ การลดการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขาดจริยธรรมในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และใช้วัตถุดิบปลาทูน่าที่มาจากการประมงที่มีความรับผิดชอบในตลาดหลักๆ มากขึ้น

“ไทยยูเนี่ยนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในหลายๆ ส่วนของอุตสาหกรรมอาหารทะเล ข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว เป็นพันธกิจต่างๆ ที่ท้าทายในการขับเคลื่อนการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของไทยยูเนี่ยนเพื่อประโยชน์ต่อท้องทะเลของเราและชีวิตสัตว์น้ำ และต่อสิทธิของแรงงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมอาหารทะเล มีงานอีกมากมายที่ยังต้องทำ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริษัทดำเนินการตามพันธกิจอย่างจริงจังและมีความคืบหน้าอย่างแท้จริง” นายโอลิเวอร์ โนว์ส นักรณรงค์ทางทะเลขององค์กรกรีนพีซ กล่าว “ถึงเวลาแล้วที่บริษัทอื่นๆ จะก้าวออกมาและแสดงความเป็นผู้นำในลักษณะเดียวกัน เพื่อที่เราสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นสำหรับปกป้องท้องทะเลและแรงงานในภาคอาหารทะเล”

นายแดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน เห็นด้วยกับกรีนพีซในการเรียกร้องให้เกิดความร่วมมือในวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำสำเร็จได้โดยลำพัง ความร่วมมือคือหัวใจสำคัญ ในขณะที่เราขับเคลื่อนไปข้างหน้า องค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมสามารถมีส่วนร่วมและช่วยขับเคลื่อนความท้าทายนี้ เราทำในส่วนนี้ผ่านการผลักดันอย่างจริงจังทางการเมือง ผ่านความร่วมมือจากหลายฝ่าย และผ่านความมุ่งมั่นที่แน่วแน่และเด็ดขาด ซึ่งหากเราทำงานร่วมกันแล้ว เราจะไปได้ไกลและเร็วยิ่งขึ้น

นับตั้งแต่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ไทยยูเนี่ยนได้ดำเนินการและบรรลุผลสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญหลายโครงการ ซึ่งประกอบด้วย
- การเปิดตัวแนวปฏิบัติด้านแรงงานบนเรือประมง ซึ่งพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือกับกรีนพีซและสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ
- การดำเนินโครงการนำร่องนวัตกรรมระบบการตรวจสอบย้อนกลับแบบดิจิทัล เพื่อให้แรงงานบนเรือสามารถสื่อสารได้ในขณะที่ออกทะเล ซึ่งเป็นการส่งเสริมด้านสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล
- การสนับสนุนกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเลฉบับใหม่ที่กำหนดให้นายจ้างที่มีการเดินเรือออกนอกน่านน้ำไทยจัดเตรียมระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมและเครื่องมือสื่อสารให้กับลูกเรือเมื่อออกเดินเรือ ซึ่งเป็นแนวทางลักษณะเดียวกับโครงการนำร่องของบริษัท
- การริเริ่มโครงการผู้สังเกตการณ์แบบออนไลน์กับเรือประมงเบ็ดราวในมหาสมุทรแปซิฟิก
- การออกแนวทางปฏิบัติให้คู่ค้าด้านการจัดการการจับสัตว์พลอยได้
- งานต่อเนื่องในโครงการพัฒนาการประมง และการสนับสนุนการปรับปรุงการจัดการการประมง
- การเข้าร่วมโครงการ Global Ghost Gear Initiative ในการผลักดันเรื่องมลพิษพลาสติกในทะเล และการลดปัญหาการทิ้งซากอุปกรณ์ประมง การสูญเสีย หรือการทิ้งอุปกรณ์ประมงลงในท้องทะเลทั่วโลก
- การสื่อสารกับคู่ค้าและกองเรือเพื่อลดการใช้อุปกรณ์การทำประมงประเภทซั้ง (FAD) ตามเป้าหมาย และลดจำนวนการใช้อุปกรณ์การทำประมงประเภทซั้งจากกองเรือที่ไทยยูเนี่ยนมีการจัดซื้ออยู่ คู่ค้าของเรามีการใช้อุปกรณ์การทำประมงประเภทซั้งต่ำกว่าจำนวนสูงสุดที่มีการอนุญาตให้ใช้โดยองค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาค (RFMOs)

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนและกรีนพีซจะยังคงทำงานร่วมกันในการสร้างความยั่งยืนให้กับท้องทะเลและชีวิตสัตว์ในทะเล รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งในช่วงปลายปี 2561 หน่วยงานอิสระจากภายนอกจะเข้ามาตรวจสอบและรายงานต่อสาธารณะถึงความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ตามที่ได้ให้พันธสัญญาไว้

“ไทยยูเนี่ยนได้ยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ต่างๆ ให้กับทั้งอุตสาหกรรมอาหารทะเลในการดำเนินตามเพื่อแก้ปัญหาการประมงแบบทำลายล้าง การกดขี่แรงงาน และการปฏิบัติที่ไร้จริยธรรม” นายโอลิเวอร์ กล่าว “คนหลายแสนคนทั่วโลกที่ต้องการเห็นอุตสาหกรรมอาหารทะเลมีบทบาทยิ่งขึ้นในการขจัดปัญหาเหล่านี้โดยกำลังจับตามองความก้าวหน้าของไทยยูเนี่ยน และพวกเขาคาดหวังให้บริษัทอาหารทะเลอื่นๆ ดำเนินตามผู้นำของเขา เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับท้องทะเลอย่างแท้จริง ตอนนี้ถึงเวลาที่บริษัทเหล่านั้นต้องลงมือทำแล้ว”