"แกรนด์แอสเสท" จัดทัพลงทุนใหม่ มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มเน้นการลงทุนแบบมิกซ์ยูสบาลานซ์ลงทุนสร้างโรงแรมกับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขายควบคู่ ชี้ลดต้นทุนค่าที่ดินลง 50 % และสร้างรายได้เร็ว โดยจะประเดิมโครงการแรกที่ระยอง มูลค่า 8 พันล้านบาท ผุดโรงแรม วิลล่า คอนโดฯหรูจับตลาดบิ๊กอุตสาหกรรมในโซนนี้ คาดตอกเสาเข็มต้นปีหน้าและจ่อนำโรงแรมเชอราตันหัวหินเข้าระดมทุนผ่านกองรีทส์
[caption id="attachment_40933" align="aligncenter" width="414"]
ไพสิฐ แก่นจันทร์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท แกรนด์ แอสเสทโฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)[/caption]
นายไพสิฐ แก่นจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสทโฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยเปิดกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงการเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่ามีเป้าหมายภารกิจที่ชัดเจนคือต้องการเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มของโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงการนำอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้แน่นอน เข้าระดมทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust หรือ REIT ในอนาคตหลังจากได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารแล้ว
โดยหลังจากนี้การลงทุนของบริษัทจะเป็นในลักษณะบาลานซ์การลงทุนสร้างโรงแรมและคอนโดมิเนียมในพื้นที่เดียวกันในลักษณะมิกซ์ยูส เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้างโรงแรมและทำให้มีกระแสเงินสดเข้ามาหมุนเวียนในบริษัทได้เร็วขึ้นกว่าการลงทุนสร้างโรงแรมเพียงอย่างเดียว ซึ่งโครงการแรกที่จะดำเนินการ คือโครงการที่จังหวัดระยอง หลังได้เตรียมซื้อที่ดินเตรียมไว้แล้ว 100 ไร่ ตั้งอยู่ในทำเลที่สวยมากอยู่บนเขาและติดทะเล มูลค่า 700 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมหินสวย น้ำใส
"โครงการนี้ภายในจะประกอบไปด้วยโรงแรม 200 ห้อง พร้อมห้องประชุมคาดใช้เงินลงทุน 1.7 พันล้านบาท ซึ่งจะให้เชนโรงแรมต่างประเทศบริหาร บ้านพักตากอากาศ (วิลล่า) 25-30 ยูนิต ขายยูนิตละ 30-80 ล้านบาท ไทม์แชร์และคอนโดมิเนียมในลักษณะโลว์ไรส์ ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 80 ตารางเมตร ส่วนหนึ่งจะขายเป็นไทม์แชร์ ซึ่งน่าจะใช้พื้นที่เพียง 60-70 % เท่านั้น โดยสร้างเป็นอาคารโลว์ไรส์กลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด คาดเริ่มลงมือก่อสร้างต้นปีหน้า แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ภายใต้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 พันล้านบาท " ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว
การเลือกลงทุนที่ระยองเนื่องจากเห็นจุดแข็งที่ว่า เดินทางสะดวกมีทางเลือกหลายเส้นทาง ทั้งถนนและห่างจากสนามบินอู่ตะเภา 45 นาที ส่วนจากสนามบินสุวรรณภูมิใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง น้ำทะเลใสสะอาดไม่แพ้เกาะพีพี ยังมีโรงงานอุตสาหกรรมสารพัด ทั้งรถยนต์ ปิโตรเคมี ปตท. ทำให้วันธรรมดา จะมีลูกค้าจากบริษัทต่าง ๆ เข้าไปใช้บริการ ประชุมและห้องพักรองรับผู้บริหารจากต่างชาติ ส่วนวันหยุดจะเป็นนักท่องเที่ยว ขณะที่ราคาที่ดินไม่แพงเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นอย่างพัทยาราคาไร่ละ 30 -40 ล้านบาท ภูเก็ตไร่ละ 50 ล้าน หัวหิน เขาเต่าราคาไร่ละ 40 ล้านบาท
นายไพสิฐ กล่าวอีกว่า แนวคิดการพัฒนาโครงการในลักษณะนี้จะทำให้มีรายได้กระแสเงินสดเข้ามาหมุนเวียนในบริษัทได้เร็วขึ้นอีกทั้งยังเป็นการลดงบลงทุนด้านที่ดินโรงแรมไปได้เกือบ 50 % เพราะถ้าหากลงทุนสร้างโรงแรมอย่างเดียวกว่าจะได้เงินก็ต่อเมื่อเปิดบริการใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ปี หรือกว่าจะระดมทุนได้ต้องใช้เวลาอีก 2 ปีรวมเป็น 7 ปี แต่ถ้าสร้างคอนโดมิเนียมควบคู่ไปด้วย เมื่อโรงแรมเริ่มก่อสร้างคอนโดมิเนียมขาย ภายใน 2 ปีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเริ่มโอน ทำให้เกิดรายได้ในปีที่ 3 ที่ 4
"การบาลานซ์การลงทุนระหว่างอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายกับโรงแรม ซึ่งจะเกิดผลดีต่อการลงทุนที่ทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาแน่นอน แต่ถ้าลงทุนโรงแรมอย่างเดียวต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงกว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและจะมีรายได้ก็ต่อเมื่อเปิดให้บริการซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4ปี"
นายไพสิฐ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากเตรียมแผนลงทุนโครงการใหม่ที่จังหวัดระยองแล้ว วันนี้เราดูที่ดินอยู่อีกหลายแปลงไม่ตกผลึก ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต เชียงใหม่ ที่น่าลงทุน รวมถึงการซื้อกิจการโรงแรมซึ่งมีเสนอขายเข้ามาบ้างแต่ต้องดูผลตอบแทนจากการลงทุนถ้าหากซื้อมาแล้วสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ก็จะพิจารณา เพราะต้องการนำกำไรมาต่อยอดธุรกิจในการลงทุนโครงการใหม่ ๆ
ส่วนแผนการระดมทุนผ่านกองรีทส์ นั้น มีแนวคิดจะนำโครงการเชอราตัน หัวหิน มีห้องพัก 240 ห้อง ซึ่งเปิดบริการมาเกือบ 10 ปีทำให้มีรายได้แน่นนอนปีละประมาณ 300 ล้านบาท เข้าระดมทุน จุดขายของโรงแรมนี้คือมีสระว่ายน้ำใหญ่ที่สุดเหมาะแก่ตลาดครอบครัว และห้องประชุมใหญ่สุดในหัวหิน ชะอำ ตลาดแต่งงานอินเดียนิยมมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดีโครงการโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว 3 แห่งคือ โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท โรงแรมเชอราตัน หัวหิน และโรงแรมเชอราตัน ปราณบุรี วิลล่า ซึ่งปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้น 10 % จากการเมืองสงบโดยปีที่แล้วมีรายได้ 1.2 พันล้านบาท ส่วนโรงแรมไฮแอท สุขุมวิท 13 อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดจะเปิดบริการในเดือนตุลาคม 2560 และยังมีคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคือ เดอะไฮด์สุขุมวิท 13 ซึ่งกำลังจะปิดการขายเหลือแต่ในส่วนเพนต์เฮาส์ 12 ยูนิต ราคาขายตารางเมตรละ 2.5 แสนบาท พื้นที่เฉลี่ย 200-240 ตารางเมตร ห้องใหญ่สุดมีสระว่ายน้ำส่วนตัว และ เดอะ ไฮด์ สุขุมวิท 11 ที่เหลืออยู่ 41 % นายไพสิฐ กล่าวในที่สุด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,143 วันที่ 27 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2559