มหาดไทย ยกระดับสาธารณภัยน้ำท่วมอุบลฯ เป็นภัยระดับ 3 จากสูงสุดระดับ 4 เกินกำลังผู้ว่า ให้ปภ.คุมกู้วิกฤติ
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ออก ประกาศกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เรื่อง ยกระดับการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ ระดับ 3
ระบุว่า ตามที่พายุ “โพดุล” และ “คาจิกิ” ได้ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและเกิดสถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2562 ซึ่งปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยต่อเนื่องในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด และสถานการณ์ดังกล่าวยังคงมีความรุนแรง ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน ของประชาชนเป็นอย่างมาก นั้นกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ตรวจสอบแนวโน้มสถานการณ์ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา (สสน.) พบว่าจากอิทธิพลของร่องมรสุมอาจส่งผลให้ ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับ ข้อมูลของสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และกรมชลประทาน ซึ่งเห็นว่าสถานการณ์น้ําในแม่น้ําชี และแม่น้ํามูล มีระดับลดลงแต่ยังคงล้นตลิ่ง สอดคล้องกับความเห็นเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี ว่าสถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง และสถานการณ์ยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้บัญชาการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จึงอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย พ.ศ. 2550 ประกอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2554 มีประกาศ ดังนี้
1. ยกระดับการจัดการสาธารณภัยเป็นการจัดการสารารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3) ตามแผนการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558
2. ให้อริบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อํานวยการกลาง ดําเนินการและ ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตลอดจนอํานวยการ ประสานการปฏิบัติ ประเมินสถานการณ์ ติดตาม เฝ้าระวัง วิเคราะห์สถานการณ์ รายงาน และเสนอความคิดเห็น ต่อผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อพิจารณาสั่งการเชิงนโยบาย
3. จัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) ขึ้น ณ ศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยเขต 13 อุบลราชธานี โดยมีนายบุญธรรม เลิศสุขเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นผู้กํากับควบคุมพื้นที่ (Area Command) ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชน
4. กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสารารณภัยแห่งชาติ จัดตั้งส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงาน ในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) ตามที่ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เห็นสมควร และให้ประสาน การให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยมีหน่วยงานตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แห่งชาติ พ.ศ. 2558 ตลอดจนหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชน จิตอาสา เร่งดําเนินการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่าง ๆ โดยเร็ว และเมื่อ สถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลาย จะเร่งสํารวจความเสียหายในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น ด้านชีวิต ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการประกอบอาชีพ สิ่งสาธารณประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น เพื่อทําการฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถ กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว
ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานน้อมนําพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องการคิดปรับ แนวทาง แผนเผชิญเหตุทั้งในภาพรวม และเฉพาะเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนรวบรวมความเสียหาย ประมาณการ ต่อยอดเตรียมการสิ่งใหม่ ๆ และสิ่งที่ยังไม่ได้ทํา เพื่อลดผลกระทบบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชนอย่างเต็มความสามารถ
ประกาศ ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการแบ่งระดับความรุนแรง ระดับ 1 เป็นสาธารณภัยขนาดเล็ก ที่ผู้อํานวยการท้องถิ่น ผู้อํานวยการอําเภอ สามารถควบคุม สถานการณ์และจัดการระงับภัยได้โดยลําพัง ระดับ 2 สาธารณภัยขนาดกลาง ผู้อํานวยการท้องถิ่น ผู้อํานวยการอําเภอ ไม่สามารถ ควบคุมสถานการณ์ได้ผู้อํานวยการจังหวัด เข้าควบคุมสถานการณ์
ระดับ 3 สาธารณภัยขนาดใหญ่ ผู้อํานวยการจังหวัดไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ผู้อํานวยกลาง และ/หรือผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยแห่งชาติเข้าควบคุมสถานการณ์ และระดับ 4 สาธารณภัยขนาด ร้ายแรงอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรี มอบหมาย ควบคุมสถานการณ์