TIJ ร่วมมือ PRI ปฏิรูปสุขอนามัยเรือนจำ พ้นวิกฤติโรคระบาด

03 มิ.ย. 2563 | 10:40 น.

TIJ ร่วมกับ องค์กรการปฏิรูปการลงโทษสากล หรือ PRI จัดงานเปิดตัวรายงานสถานการณ์เรือนจำโลกฉบับปี 2563 (Global Prison Trends 2020) ในรูปแบบเสวนาออนไลน์ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิตัวแทนระดับสูงจากจากองค์ระหว่างประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน นำเสนอสถานการณ์ปัจจุบันของเรือนจำทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา และเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบาย เพื่อการผลักดันให้เกิดการลดจำนวนผู้ต้องขังแออัด ด้วยมาตรการอาญาที่ไม่ใช่การคุมขัง พร้อมกับยกระดับการดูแลสุขภาวะในเรือนจำในช่วงที่สังคม และชุมชนต้องเผชิญวิกฤติโรคระบาดใหญ่โควิด-19

ความท้าทายในการบริหารจัดการเรือนจำของปี 2020 คือการให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนแก่ผู้ต้องขัง ในภาวะวิกฤติทางสาธารณสุุุข และรับมือกับวิกฤติโรคระบาดใหญ่ไปพร้อมกัน 

จากรายงาน Global Prison Trend 2020 ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ต้องขังทั้งหมด 11 ล้านคน และเรือนจำใน 124 ประเทศประสบปัญหาเรือนจำแออัด หรือคนล้นคุกเกินพิกัดสูงสุด อันเนื่องมาจากทิศทางการเน้นการลงโทษแบบคุมขังแบบเดิม ในขณะที่ผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกมีอยู่ที่ 7 แสนคน และกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความควบคุมของตำรวจมีอยู่กว่า 1 ล้านคนทั่วโลก  

TIJ ร่วมมือ PRI ปฏิรูปสุขอนามัยเรือนจำ พ้นวิกฤติโรคระบาด

อิลเซ่ บรานดส์ เคริส  ผู้ช่วยเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ด้านสิทธิมนุษยชน และหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติประจำนิวยอร์ค (OHCHR) กล่าวว่า สถานการณ์นี้เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติเลยทีเดียว โดยอ้างอิงตัวเลขจากรายงานฯ ว่า จำนวนผู้ต้องขังปัจจุบันเป็นจำนวนที่สูงสุดในประวัติการณ์ ในจำนวนนี้มีคนจำนวนมากยังอยู่ระหว่างการคุมขังก่อนชั้นพิจารณามาเป็นเวลาหลายปี หรือหลายคนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำที่แออัด โดยที่ผู้ต้องขังในเรือนจำเหล่านี้ กำลังประสบปัญหาด้านสุขอนามัย เนื่องจากขาดน้ำสะอาด และระบบถ่ายเทที่ดี 

ผู้ช่วยเลขาธิการ UN ยังได้เรียกร้องให้แต่ละประเทศมองหาวิธีการปล่อยตัวผู้ที่มีความเสี่ยงต่อไวรัส และให้ใช้เวลานี้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยไม่มีหลักฐานทางกฎหมายที่เพียงพอ  

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า ทาง TIJ ได้รายงานสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ในเรือนจำกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในไทยแล้ว และเล็งเห็นว่าโอกาสนี้ น่าจะตอกย้ำแนวคิดการปฏิรูปกระบวนการยุติกรรม และการใช้มาตรการทางเลือกในการบริหารจัดการทั้งระบบ โรคโควิด-19 ได้ส่งผลต่อพฤติกรรรมของผู้คน รวมไปถึงรูปแบบของอาชญากรรม จึงควรใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงการป้องกัน ไม่ให้เกิดอาชญากรรรม รวมไปถึงปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม เราต้องการเห็นเรือนจำเป็นมาตรการสุดท้ายที่จะถูกนำมาใช้ และหากใช้ก็ควรจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ 

TIJ ร่วมมือ PRI ปฏิรูปสุขอนามัยเรือนจำ พ้นวิกฤติโรคระบาด

เดิร์ก ฟาน ซิล สมิท ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ ยังได้เอ่ยถึงนโยบายการใช้โทษคุมขังที่ยาวนานหรือการบังคับใช้โทษจำคุกตลอดชีวิต ว่าสร้างความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของบุคคลผู้ถูกคุมขัง และไม่ต่างจากการลงโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ องค์กรการปฏิรูปการลงโทษสากล (PRI) ต้องการผลักดันการปฏิรูปกระบวนการลงโทษ และพัฒนาเรือนจำให้เป็นสถานบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังในกรอบมนุษยธรรม 

ในวงเสวนายังได้ชี้ถึงปัญหาการรับรู้ของสังคม โฆเอล เอร์นานเดซ การ์เซีย  ประธานคณะกรรมการภาคีอเมริกันด้านสิทธิมนุษยชน ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสื่อมวลชนต่อการเปลี่ยนแปลงว่า สื่อมวลชนควรเสนอข่าวที่เป็นข้อมูลถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำ และสถานการณ์ของเรือนจำที่เป็นจริง การเสนอข่าวที่เน้นถึงมนุษยธรรม คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังในภาวะเกิดโรคระบาด มากกว่าจะเน้นไปในเชิงประเด็นการเมืองอย่างที่เป็นมา

TIJ ร่วมมือ PRI ปฏิรูปสุขอนามัยเรือนจำ พ้นวิกฤติโรคระบาด

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เห็นพ้องว่า การสื่อสารกับประชาชนมีความสำคัญ ในประเทศไทย ประชาชนกังวลเกี่ยวกับอันตรายของการปล่อยตัวผู้ต้องขัง แต่ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ที่ TIJ ผลักดันให้มีการปล่อยตัว เป็นผู้ต้องขังที่มีโทษน้อย อยู่ในการคุมขังก่อนชั้นพิจารณา ผู้ต้องขังสูงอายุ และผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังโดยไม่เหมาะสม แม้ว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำก่อนพ้นโทษ แต่ก็ยังมีการควบคุมทางสังคมอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารกับประชาชน ให้เข้าใจสถานการณ์ภายในเรือนจำและเข้าใจผู้ต้องขังอย่างถูกต้อง

โอลิเวีย โรป ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและงานรณรงค์ระหว่างประเทศ องค์กรการปฏิรูปการลงโทษสากล (PRI) เปิดเผยตัวเลขสถิติเกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลกในมิติต่างๆ พร้อมแสดงความกังวลถึงวิกฤติเรือนจำแออัด ซ้อนวิกฤติโควิด-19  ว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะทำให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้รับโทษที่ไม่ต่างไปจากการประหารชีวิต

TIJ ร่วมมือ PRI ปฏิรูปสุขอนามัยเรือนจำ พ้นวิกฤติโรคระบาด

จากรายงาน ยังพบว่าความแออัดในเรือนจำ นำไปสู่วงจรการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังบางกลุ่ม และยังส่งผลให้เรือนจำไม่ประสบความสำเร็จในการบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิด เห็นได้จากอัตราการทำความผิดซ้ำของนักโทษ มีถึง 50% นอกจากนี้ อัตราการตายของผู้ต้องขังในเรือนจำ มีมากกว่าภายนอกเรือนจำถึง 50% 

ดร.คาริน่า ฟีร์ไรรา บอร์เคส แห่ง WHO/Europe กล่าวอ้างอิงรายงานเอกสารที่ระบุถึงการเกิดโรคติดต่อภายในเรือนจำ และย้ำว่า ในสภาวะแออัดเช่นนี้ ในเรือนจำจะมีความรุนแรงของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 มากขึ้น และเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ ตระหนักถึงปัญหาความแออัดของเรือนจำ และเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรงในการเผชิญวิกฤติขณะนี้ 

ซาราห์ เบลาล ผู้อำนวยการ JPP กล่าวว่า ในแถบเอเชียใต้ ได้ตื่นตัวรับกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งชี้ให้เห็นปัญหาภายในระบบการจัดการด้านสุขอนามัยของเรือนจำจากภาวะเรือนจำแออัด เฉพาะในปากีสถานคนล้นคุกคิดเป็น 117% บวกกับภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ตรวจหาผู้ติดเชื้อ หรือกระทั่งรถพยาบาล อย่างในแคว้นปัญจาบ มีเรือนจำกว่า 10% ที่ไม่มีรถพยาบาล จึงมีการปล่อยผู้ต้องขังส่วนมาก เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโรค และการเสียชีวิต  

“มีหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ยอมปล่อยผู้ต้องขังเพื่อลดความเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ในเรือนจำ โดยไม่ต้องมีแรงกดดันทางการเมือง เพราะความเข้าใจตรงกันกับหลักการพื้นฐานว่า สุขอนามัยในเรือนจำก็คือสุขอนามัยของประเทศ” 

PRI และ TIJ มุ่งผลักดันการปฏิรูปการบริหารจัดการภายในเรือนจำและนโยบายเกี่ยวกับมาตรการลงโทษทางอาญาที่มิใช่การคุมขัง เพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังและยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งเจ้าหน้าที่ภายในเรือนจำ และตัวผู้ต้องขัง โดยเฉพาะในสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่ยังเป็นภัยคุกคามของคนทั่วโลก