สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ให้การ อนุมัติวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (27 ก.พ.) ทำให้มีทางเลือกในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ไม่ต้องฉีดถึง 2 โดส เหมือนวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น ๆ
การอนุมัติดังกล่าวส่งผลให้วัคซีนของ J&J เป็นวัคซีนตัวที่ 3 ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉิน (EUA) ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ วัคซีนต้านโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว 2 ตัวได้แก่ วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์-บิออนเทค และวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นา
แต่ความโดดเด่นซึ่งทำให้ วัคซีนต้านโควิดของ J&J แตกต่างจากวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น ๆคือ วัคซีนของ J&J จะเป็นวัคซีนที่ใช้ฉีดเพียงเข็มเดียวหรือโดสเดียวก็มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันโรคระบาดดังกล่าว และจะเป็นวัคซีนต้านโควิดแบบฉีดเข็มเดียวที่ถูกใช้งานในสหรัฐเป็นตัวแรก
FDA ระบุว่า หลังจากที่ผ่านการอนุมัติให้ใช้งานในกรณีฉุกเฉินแล้ว วัคซีนของ J&J จะได้รับอนุญาตให้ฉีดได้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา วัคซีนของบริษัทผู้ผลิตรายอื่น ๆ เช่นไฟเซอร์-บิออนเทค และโมเดิร์นนา จำเป็นต้องฉีดถึงสองเข็มโดยเว้นระยะห่างประมาณสามถึงสี่สัปดาห์เพื่อการสร้างภูมิต้านทานโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้วัคซีนเหล่านี้ดูเหมือนจะให้ผลในทางป้องกันได้สูงถึงราว 95% หลังจากการฉีดเข็มที่สองแล้วก็ตาม แต่ข้อจำกัดเรื่องอุณหภูมิของการจัดเก็บและการต้องฉีดเข็มที่สองได้สร้างปัญหาและทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสะดวกและความเป็นไปได้ที่จะฉีดให้กับคนนับพันล้านคนทั่วโลกอย่างทั่วถึง
ขณะที่ J&J นั้น ประกาศว่า วัคซีนของบริษัทซึ่งใช้เพียงเข็มเดียว สามารถเก็บได้ที่อุณหภูมิตู้เย็นธรรมดา และมีประสิทธิผลโดยรวมในระดับ 66% (ซึ่งผ่านเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก) ในการป้องกันอาการเจ็บป่วยระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง ทั้งยังสามารถป้องกันอาการป่วยที่ร้ายแรงที่สุดจากโควิด-19 ได้ถึง 85% นอกจากนี้ วัคซีนของ J&J ยังปลอดภัยและใช้ได้ผลในคนหลายกลุ่มที่มีพื้นฐานต่างกัน คือ ผู้ร่วมทดลองราว 30% มีอายุเกิน 60 ปี และกว่า 40% มีความผิดปกติด้านสุขภาพซึ่งนับเป็นความเสี่ยงสำหรับ โควิด-19 อย่างเช่นเป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น
J&J ประกาศว่าจะสามารถผลิตวัคซีนให้สหรัฐอเมริกาได้ 100 ล้านโดสภายในเดือนมิ.ย. นี้ และจะผลิตสำหรับประเทศอื่น ๆทั่วโลก 1,000 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ (2564)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: