รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความว่า
จากที่เคยวิเคราะห์ธรรมชาติของการระบาดของต่างประเทศไว้
กลุ่มประเทศที่ระลอกสามหนักกว่าระลอกสองนั้น จะใช้เวลาเฉลี่ยในการกดการระบาดลง จากพีคสู่ระดับพื้นฐานคงที่ ราว 69.81 ± 29.37 วัน (มัธยฐาน 55 วัน)
เคยเล่าให้ฟังไปก่อนหน้านี้แล้วว่า หากไทยทำมาตรการล็อกดาวน์ระดับภาคเข้มข้นเพียงพอตั้งแต่ตอนช่วงเข้าระลอกสามเต็มตัว ไม่เกิน 2-4 สัปดาห์ ก็จะมีโอกาสกดการระบาดลงได้โดยใช้เวลาถึงประมาณ 21 กรกฎาคม โดยคาดประมาณนับจากพีคช่วงกลางถึงปลายพฤษภาคม แต่สุดท้ายแล้ว เลือกไล่ปิดตามจุด ตามพื้นที่ ตามกิจการกิจกรรม ก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าคุมไม่อยู่ ทำให้ลักษณะการระบาดเปลี่ยนแปลงไปในทางที่รุนแรงมากดังที่มีในปัจจุบัน
ในหมู่ประเทศที่รุนแรงเหล่านั้น มีบางส่วนที่ติดเชื้อจำนวนมากในแต่ละวันและเรื้อรังต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งหวังว่าไทยเราจะไม่เป็นเช่นนั้น
เดิมพันจึงอยู่ที่นโยบายและมาตรการที่จะทำต่อจากนี้
ด้วยการที่จังหวัดกว่าครึ่งประเทศเป็นสีแดงและส้ม รวมแล้วถึง 46 จังหวัด และสีเหลืองถึง 24 จังหวัด ในขณะที่มีเศษเสี้ยวเท่านั้นที่เป็นสีเขียว 7 จังหวัด และไม่มีสีขาวเลย
ยังยืนยันว่า สถานการณ์แบบนี้จำเป็นต้องตัดวงจรการระบาดให้ได้
หลักการคือ ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ร่วมกับการปูพรมตรวจให้มากที่สุด อย่างต่อเนื่อง เรื่องวัคซีนนั้น หวังผลในระยะสั้นได้ยาก ดังที่เราเห็นบทเรียนจากประเทศต่างๆ ที่ตัดวงจรการระบาดได้สำเร็จมาแล้ว ทั้งจีน สหราชอาณาจักร และอื่นๆ
แต่ต้องเผื่อใจไว้ว่า ยามที่ระบาดหนักมายาวนานหลายเดือน กว่าจะล็อคดาวน์และเร่งตรวจ จนควบคุมได้นั้น จะใช้เวลานานหลักเดือนหรือหลายเดือน ดังนั้นจึงต้องวางระบบสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนอย่างเพียงพอนี่คือสิ่งที่ควรทำ
เพราะหากเลือกใช้แต่วิธีบรรเทาอาการ โรคที่เป็นหนักหนาก็จะแย่ลงเรื่อยๆ จนยากที่จะเยียวยา การมาบอกว่าจะทำทีละขั้น ไม่ดีแล้วค่อยตัดสินใจปิดเมือง ส่งข้าวส่งน้ำแบบอู่ฮั่นนั้น ยากนักที่จะสำเร็จ เพราะกว่าจะถึงเวลานั้น ก็หนักหนาเกินกว่าเค้า ทรัพยากรของประชากรแต่ละคนแต่ละครอบครัวในประเทศก็อาจไม่เหลือเพียงพอที่จะประคับประคองตัวเองได้ และมองไม่เห็นทางเลยว่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งเรื่องคนเงินของหยูกยาและอื่นๆ จะพอเพียงที่จะนำส่งให้แก่ทุกคนในพื้นที่ได้ทันเวลา
กว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ยังไม่เพียงพออีกหรือกับผลลัพธ์ที่คุณเลือกทำ นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งสุขภาพ ชีวิต และเศรษฐกิจ
ปรับเปลี่ยนให้คนอื่นมาจัดการนโยบายและมาตรการด้านสาธารณสุข ควบคุมป้องกันโรค วัคซีน และอื่นๆ ที่สำคัญต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนทุกคนในสังคมเถิดครับ
หลักการที่จะไม่เปลี่ยนม้ากลางศึกนั้น มันใช้ไม่ได้ หากที่ใช้อยู่นั้นมันไม่ใช่ม้า
พอเถิดครับ...
สำหรับประชาชนอย่างพวกเราทุกคน ขอให้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากสองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า สำคัญมาก
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมตัวเลขสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19)ในประเทศไทยวันที่ 20 กรกฎาคม 64 จากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. พบว่า มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นรวม 11,305 ราย มาจาก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,710 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 595 ราย ผู้ป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 397,612 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 80 ราย หายป่วยเพิ่ม 6,557 ราย หายป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 268,782 ราย