หลังเกิดข้อกังขากับแผนการจัดสรรวัคซีน "ไฟเซอร์" จำนวน 1.54 ล้านโดส ที่ไทยได้รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งพบว่าบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเป็นด่านหน้า กลับไม่ได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มแรก จะฉีดให้เป็นเข็ม 2 และเข็ม 3 บูสเตอร์เท่านั้น จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของสังคม
ล่าสุดช่วงเที่ยงวันนี้ (2 ส.ค. 2564) ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 4/2564 เรื่อง “คำแนะนำการให้วัคซีนโควิด 19 ของ Pfizer ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข”
โดยมีหลัการให้วัคซีนกับกลุ่มเป้าหมาย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทุกคนที่ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิดจากการปฏิบัติงานทั่วประเทศ รวมทั้งนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิดจากการปฏิบัติงาน เช่น แผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ
ห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักตัว หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับภาคกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาล/หน่วยงานต้นสังกัด
โดยมีหลักการให้วัคซีน ดังนี้
1. บุคลากรที่ได้รับวัคซีน Sinovac หรือ Sinopharm ครบ 2 เข็ม พิจารณาให้วัคซีน Pfizer กระตุ้น 1 เข็ม
2. บุคลากรที่ได้รับวัคซีนใดๆ มาแล้วเพียง 1 เข็ม พิจารณาให้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่ 2 โดยกำหนดระยะห่างระหว่างโดสตามชนิดของวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นหลัก
3. บุคลากรที่ไม่เคยได้วัคซีนใดๆ มาก่อน พิจารณาให้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่ 2 ห่างกัน 3 สัปดาห์
4. บุคลากรที่เคยติดเชื้อโควิดและไม่เคยได้รับวัคซีน พิจารณาให้วัคซีน Pfizer 1 เข็ม โดยมีระยะห่างจากวันที่พบการติดเชื้ออย่างน้อย 1 เดือน
ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เคยได้รับวัคซีน ดังต่อไปนี้
1. วัคซีน Sinovac เข็มแรกและวัคซีน AstraZeneca เข็มที่ 2 หรือ
2. วัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม หรือ
3. วัคซีน Sinovac 2 เข็ม และได้รับเข็มกระตุ้นด้วย AstraZeneca 1 เข็ม
คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ขณะนี้ยังไม่แนะนำให้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มกระตุ้น เพราะบุคลากรดังกล่าวยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ เนื่องจากเพิ่งฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม บุคลากรกลุ่มนี้ให้ขึ้นทะเบียนรายชื่อไว้ และจะมีการพิจารณาข้อมูลวิชาการ และดำเนินการให้วัคซีน Pfizer ตามข้อมูลวิชาการและจำนวนวัคซีนที่จะเข้ามาเพิ่มในระยะต่อไป