นายธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่ม Thai & Chinese Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 มูลค่าตลาดร้านอาหารอยู่ที่ 4.1แสนล้านบาท เติบโตต่อเนื่องในปี 2562 ที่มูลรวมอยู่ที่4.3แสนล้านก่อนจะเติบโตลดลงจากภาวะโควิดในช่วงปี 2563 ที่มูลค่ารวมเหลือเพียง 4แสนล้านเท่านั้น สำหรับปี 2564 นี้ คาดว่าจะมีการขยายตัว1.4-2.6% หรือมูลค่า4.10-4.15 แสนล้านบาท
สำหรับร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะมีผลกระทบค่อนข้างมาก จากผลกระทบของการระบาดโควิด-19 ที่มีผลให้สภาพแวดล้อมธุรกิจร้านอาหารต้องปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทั้งจากมาตรการการควบคุมการระบาดของภาครัฐ และกำลังซื้อของผู้บริโภคซึ่งก็ได้รับผลจากการปรับตัวของการจ้างงานเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม Thai & Chinese Cuisineปี 2563 ที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้อยู่ที่ประมาณ 270 ล้านบาทจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 330 ล้านบาท มีจำนวนสาขาทั้งหมด 36 สาขา
สำหรับปี2564นี้ ตั้งเป้าหมายยอดขายประมาณ 300 ล้านบาท ผ่านมาครึ่งปี สามารถทำยอดขายที่ประมาณ 140 ล้านบาท เหลืออีกประมาณ 160 ล้านสำหรับ 6 เดือนที่เหลือซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะบรรลุเป้าหมายในสถานการณ์ที่มีการล็อกดาวน์ มีการห้ามรับประทานในร้าน ต้องเดลิเวอรี่เท่านั้น
ในขณะเดียวกันก็ยังขยายสาขาเพิ่มขึ้นจาก 30 กว่าสาขากลายเป็น 67 สาขาและคาดว่าภายสิ้นปีนี้จะแตะ 80 สาขาได้
สำหรับแผนงานครึ่งปีหลังบริษัทมีการปรับโครงสร้างของThai & Chinese Cuisineให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ในปี 2020 สัดส่วนของลูกค้าที่นั่งทานในร้านอาหารและซื้อกลับบ้านสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 70% ต่อ 30% แต่ปีนี้สัดส่วนเดลิเวอรี่สูงถึง 80% และไดน์อินเพียง 20%
ดังนั้น ซีอาร์จี ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างของการบริหาร และปฏิบัติงาน มุ่งเน้นในการบริหารจัดการในแต่ระบบให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
1. แผนการบริหารจัดการต้นทุน มุ่งเน้นบริหารจัดการ อาทิ พัฒนาทักษะพนักงาน ( Multi-Function) โดยดึงศักยภาพของพนักงานให้สามารถทำได้หลายหน้าที่, วัตถุดิบ มีการบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมการสูญเสีย รวมไปถึงการจัดหาพื้นที่ทำ Delivery และการเจรจาค่าเช่าที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
2. กลยุทธ์การตลาด รุกต่อเนื่อง เพื่อให้แบรนด์เป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภค ทุกคนล้วนมีประสบการณ์เคยสั่งอาหารจากร้านมาทาน รู้สึกประทับใจ ผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเน้นหนักให้ขับเคลื่อนด้วยดาต้า (Data – Driven Everything) ซึ่งลูกค้าที่สั่งออนไลน์อาหารมีมากกว่า 90% ทั้งช่องทาง Google trend, Tiktok, Twitter เป็นต้น
3. เลือกใช้ผู้นำเทรนด์ เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคคนรุ่นใหม่ รับรู้จากสื่อออนไลน์ ดังนั้นการสื่อสารเมนูใหม่ๆ ผ่าน KOLs, Food Influencer มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
4. โปรโมชั่นส่งเสริมการขาย แบรนด์ TCC เน้นเรื่องความแตกต่าง โปรโมชั่น ราคา และภาพลักษณ์ของสินค้า เข้าถึงลูกค้ามากที่สุด
นอกการปรับโครงสร้างของการบริหารงานระบบแล้ว ในส่วนของพื้นที่ร้าน และทำเลที่ตั้งร้าน ทางกลุ่มก็ได้ปรับเพื่อให้เหมาะกับสัดส่วนการขายและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งในภาพรวม มีการแบ่งสัดส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายเอาไว้อย่างชัดเจนทั้ง ช่องทาง การนั่งทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน ( Dine In & Take away ) และ เดลิเวอรี่ (Delivery)
ในปี 2563 การนั่งทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน มีสัดส่วนที่ 70 % ขณะที่ปี 2564 ปรับลดสัดส่วนลงมาที่ 60 % ด้านช่องทางการขาย เดลิเวอรี่ ในปี 2563 มีสัดส่วน 30 % ส่วนในปี 2564 อยู่ที่ 40 %
ทั้งนี้ ในภาพรวมของการขาย เป็นไปเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของสาขาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของภาพรวมธุรกิจอาหาร การควบคุมการระบาดโควิด-19 และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เวลาทำงานและอยู่ที่บ้านมากกว่า สำหรับจำนวนสาขา ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 67 สาขา ทุกสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แบ่งเป็น แบรนด์ไทยเทอเรส มีจำนวน 17 สาขา อร่อยดี 33 สาขา เกาลูน 10 สาขา ส้มตำนัว 7 สาขา นอกจากนี้ ยังมี แบรนด์ โตเกียว โบวล์ (Tokyo Bowl) ซึ่งเป็น Virtual Brand อีก 50 สาขา
“เดลิเวอรี่จะเติบโตอย่างมากต่อจากนี้ โดยเป็นการโตได้มากเป็นเท่าตัว ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการปรับตัว และการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ เช่น Fantastic 4 การสั่งอาหารที่ทำได้ครบจบในแอปเดียวแบบ 4 in 1 นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มเมนู Take away และเน้นสัดส่วนการขายเดลิเวอรี่มากขึ้น เพิ่มโลเคชั่นหาพื้นที่ Cloud Kitchen รองรับการขายเดลิเวอรี่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยดาต้า (Data - Driven Everything) ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ โดยเฉพาะออนไลน์มากกว่า 90% เช่น Google trend,Tiktok,twitter เป็นต้น
นอกจากการพัฒนาระบบหลังบ้าน และ เพิ่มขีดความสามารถในแนวรุกของตลาดออนไลน์แล้ว อีกอาวุธสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังมาจากแบรนด์ใหม่ล่าสุด “ส้มตำนัว” ที่จะเข้ามาเสริมทัพแบรนด์ในกลุ่มและขยายฐานลูกค้าให้หลากหลาย โดยเน้นสัดส่วนการขายนช่องทางดลิเวอรี่เป็นหลัก
จากกลยุทธ์ขยายธุรกิจที่ต้องเร่งขยายตัวให้ทันกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจอาหารที่เปลี่ยนไป ในอีกด้าน CRG ได้ให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์เพื่อสังคม ล่าสุด เปิดโครงการ Meal for You จัดส่งอาหารปรุงสุก 3 มื้อทุกวัน จากร้าน “อร่อยดี” และแบรนด์อื่น ๆ ให้ผู้ป่วยสีเขียวที่กักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ในรัศมี 10 กม. ของโรงพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผ่านแกร็บเอ็กซ์เพรส
รวมถึงบริการที่เรียกว่า Food For Hero ส่งต่อความสุข ความอร่อย ให้ทีมแพทย์ พยาบาลด่านหน้า ด้วยเมนูราคาเริ่มต้น 39 บาท และรับส่วนลดสูงถึง 10%
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายธนพล กล่าวสรุปว่า ทุกแบรนด์ต้องเร่งปรับตัว และปรับกลยุทธ์ให้รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางการขาย โมเดลใหม่ เช่น บริการเดลิเวอรี่ รวมถึงการพัฒนาเมนู ราคา และโปรโมชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค