ใบกระท่อม ประโยชน์และโทษ หลังปลดล็อกเสรี

26 ส.ค. 2564 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2564 | 11:11 น.

เปิดสรรพคุณทางยา ใบกระท่อม ประโยชน์และโทษ หลังปลดล็อกให้ประชาชนสามารถปลูก ขาย และใช้พืชกระท่อมได้อย่างเสรี

หลังจากที่ พืชกระท่อม ถูกปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษและเริ่มมีผลบังคับใช้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ.2564 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย

ทำให้ประชาชนสามารถปลูก ขาย และใช้พืชกระท่อมได้อย่างเสรีในลักษณะของสมุนไพร แต่ห้ามนำไปผสมกับยาเสพติดชนิดอื่น อาทิ สารเสพติดชนิด 4 คูณ 100 รวมถึงห้ามจำหน่ายให้กับเยาวชน 

โดยสาระสำคัญการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้น กำหนดให้ผู้ที่ปลูกพืชกระท่อมไว้ครอบครองสามารถซื้อ ขาย หรือนำมาบดเคี้ยวได้ และปลูกต้นกระท่อมเพิ่มเติมได้ รวมไปถึงการสามารถส่งขายเชิงพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม โดยไม่ต้องขออนุญาต

ขั้นตอนหลังจากนี้จะมีการออกกฎหมายรองตามมาอีก อาทิ การกำหนดให้ห้ามขายแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ สตรีมีครรภ์ และการกำหนดสถานที่ห้ามขาย เช่น โรงเรียน และวัด เป็นต้น รวมถึงกำหนดประเภทธุรกิจการส่งออกหรือนำเข้าที่จะต้องมีการขออนุญาตกันต่อไป  
 

รู้จักพืชกระท่อม

พืชกระท่อม (Kratom) หรือ Mitragyna speciosa (Korth.) HaviL. เป็นพรรณไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งในวงศ์ Rubiaceae ถูกนำมาใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านมานานหลายร้อยปีแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เป็นพืชที่พบมากทางใต้ของไทยไปจนถึงเขตชายแดน นิยมเคี้ยวใบสด หรือ ต้มเป็นชา เพื่อกระตุ้นให้ทำงานได้โดยไม่เมื่อยล้าในประเทศไทยมีการนำมาใช้เป็นยาแก้โรคบิด ท้องร่วง และปวดมวนท้อง

ขณะที่ชาวมลายูใช้ใบกระท่อมตำพอกแผล และใช้ทั้งใบเผาให้ร้อนวางบนท้องรักษาโรคม้ามโต ตลอดจนใช้กระท่อมเพื่อทดแทนฝิ่นในท้องที่ซึ่งหาฝิ่นไม่ได้ และบ่อยครั้งมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อควบคุมการติดฝิ่นโดยเฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์ในปัจจุบัน

พืชกระท่อมที่พบในไทยมีอยู่ 3 พันธุ์ คือ แตงกวา (ก้านเขียว) ยักษาใหญ่ (รูปใบใหญ่) และก้านแดง มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละที่ เช่น ภาคเหนือเรียกอีด่าง อีแดง กระอ่วม ภาคใต้ เรียก ท่อม หรือท่ม ในมลายูเรียกคูทุม (Kutum) หรือ คีทุมเบีย (Ketum Bia) หรือ เบียก (Biak) ลาวเรียกไนทุม (Neithum) อินโดจีน เรียกโคดาม (Kodam)

แหล่งที่พบกระท่อมในไทยบางจังหวัดของภาคกลาง เช่น ปทุมธานี แต่จะพบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส

ประโยชน์พืชกระท่อมต่อสุขภาพ

จากงานวิจัยพบว่าในใบกระท่อมทำปฏิกิริยากับร่างกายมีผลต่อเซลล์ประสาทบางชนิดในร่างกายในการรับรู้ความเจ็บปวดถูกนำมาใช้รักษาอาการเหล่านี้

-ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น อาการปวดที่ไม่พึงประสงค์เป็นผลจากการบาดเจ็บทางร่างกาย เนื้อเยื่อ ปวดหลัง อาการปวดที่เกิดจากภาวะเรื้อรัง เช่น โรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม มะเร็ง เบาหวาน และโรคข้ออักเสบ เป็นต้น 

- ช่วยรักษาอาการไอ

- ช่วยลดการหลั่งกรด

- ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้เล็ก

- ใบกระท่อมช่วยให้มีสมาธิและระงับประสาท

- แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ปวดเบ่ง แก้บิด

- แก้ปวดฟัน

- ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท

- แก้ปวดเมื่อยร่างกาย

- ช่วยให้ทํางานทนไม่หิวง่าย

- ใช้ใบกระท่อมเพื่อระงับอาการกล้ามเนื้อกระตุก

- เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ

- นำไปใช้บรรเทาอาการปวดแทนมอร์ฟีน โดยมีความแรงต่ำกว่ามอร์ฟีนประมาณ 10 เท่า และมีข้อดีกว่ามอร์ฟีนอยู่หลาย ประการ เช่น กระท่อมไม่กดระบบทางเดินหายใจ ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ใช้บำบัดอาการติดฝิ่นหรือมอร์ฟีนได้

- ใช้บำบัดผู้ติดยาเสพติด

ผลข้างเคียงจากการเสพใบกระท่อมมากเกินไป

- ความอยากอาหารลดลง หรือน้ำหนักลด

- ท้องผูก

- ปัสสาวะบ่อย

- ปากแห้ง

- วิตกกังวล และกระวนกระวายใจ

- เหงื่อออก และคัน

- แพ้แดด หรือผิวหนังมีสีเข้มกว่าเม็ดสีปกติ

- อาการคลื่นไส้ และอาเจียน

- นอนไม่หลับ หรือร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา

- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

- รู้สึกกระวนกระวาย สับสน

- เห็นภาพหลอน

ข้อควรระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ใบกระท่อม

- สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร

- ผู้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือติดสุรา

- ผู้มีความผิดปกติทางจิต

- ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจ

- กินกระท่อมร่วมกับชุมเห็ดช่วยแก้ท้องผูก หากมีอาการมึนเมา วิงเวียน ซึม จากการกินกระท่อมมากเกิน ให้ดื่มน้ำหรือกินของเปรี้ยว แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

ที่มาข้อมูล :

1.ใบกระท่อม สรรพคุณทางยา ประโยชน์และโทษ ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ ภาควิชาเภสัชและเภสัชพฤษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครรินทร์

2.สำนักงานกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา

3.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาธารณสุข