ผลวิจัยพบหายป่วยโควิดมีภูมิคุ้มกันมาก-น้อยขึ้นอยู่กับปริมาณไวรัสในตัว

31 ส.ค. 2564 | 12:21 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ส.ค. 2564 | 19:21 น.

หมอเฉลิมชัยเปิดผลวิจัยพบพบหายป่วยโควิด-19 มีภูมิคุ้มกันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณไวรัสในตัว ระบุปัจจัยเรื่องเพศ เชื้อชาติ ความรุนแรงของการเจ็บป่วยไม่ได้เกี่ยวข้อง

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า  
ผู้หายป่วยจากโควิดแล้ว แต่ไม่พบภูมิคุ้มกันเหลืออยู่ มีตั้งแต่ 5-85%  ขึ้นอยู่กับว่าตอนป่วยมีปริมาณไวรัสในตัวมากน้อยเพียงใด
มีคำถามสำคัญเกิดขึ้นตลอดเวลาทั่วโลกว่า ผู้ที่ติดเชื้อและหายป่วยจากโควิดแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันมากน้อยเพียงใด และจะอยู่ไปได้นานเพียงใด
จำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนหรือไม่
ที่สำคัญคือ ปัจจัยใดจะเป็นตัวกำหนดสำคัญ ในการมีภูมิคุ้มกันมากหรือน้อยในผู้ป่วยโควิดที่หายแล้ว
จากการรวบรวมรายงานการศึกษาจากประเทศต่างๆ พบว่าผู้ที่หายป่วยจากโควิดแล้วไม่มีภูมิคุ้มกันเหลือ มีจำนวนที่แตกต่างกันอย่างมาก ได้แก่
การศึกษาที่อิสราเอล 
พบผู้หายป่วย ไม่มีภูมิคุ้มกัน 5%
การศึกษาที่นิวยอร์ก 
พบผู้หายป่วย ไม่มีภูมิคุ้มกัน 20%
การศึกษาที่ประเทศสเปน 
พบผู้หายป่วย ไม่มีภูมิคุ้มกัน 25%
การศึกษาที่ประเทศเยอรมัน
พบผู้หายป่วย ไม่มีภูมิคุ้มกัน 85%

จึงทำให้นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และมหาวิทยาลัยอลาบาม่า สหรัฐอเมริกา ต้องการค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยสำคัญว่า ทำไมตัวเลขการศึกษาจากประเทศต่างๆจึงแตกต่างกันมากขนาดนั้น
โดยทำการรวบรวม ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโควิด โดยวิธีตรวจมาตรฐาน RT-PCR 72 ราย และตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันหลังจากที่ไม่มีอาการแล้วตั้งแต่สามสัปดาห์ขึ้นไป
โดยในกลุ่มอาสาสมัครนั้น มีอาการป่วยรุนแรงที่แตกต่างกันดังนี้
1.ไม่มีอาการ 3% 
2.มีอาการน้อย 18% 
3.มีอาการปานกลาง 67% 
4.มีอาการหนัก 12%
จากการเก็บตัวอย่างเลือด เพื่อนำมาหาระดับภูมิคุ้มกันทั้ง IgG และ IgA และระดับภูมิคุ้มกันย่อย ต่อ RBD และ Nucleocapsid พบว่า
ในการศึกษาครั้งนี้ มีผู้หายป่วยแล้ว แต่ตรวจไม่พบภูมิคุ้มกัน 36%
แต่ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ปัจจัยเรื่องเพศ เชื้อชาติ ความรุนแรงของการเจ็บป่วย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับภูมิคุ้มกันที่จะมีมากหรือน้อย

ผู้ป่วยโควิดกับระดับภูมิคุ้มกัน
แต่ไปพบปัจจัยสำคัญสองประการ ที่มีผลกับระดับภูมิคุ้มกัน ได้แก่
1.ปริมาณไวรัส (Viral load) ที่เกิดขึ้นในระหว่างติดเชื้อ โดยใช้ค่า Ct (Cycle threshold) คือจำนวนรอบของการเพิ่มจำนวนไวรัส เพื่อทำให้สามารถตรวจพบไวรัสได้
ถ้ามีปริมาณไวรัสน้อย จะต้องใช้จำนวนรอบในการเพิ่มจำนวนไวรัสมากหลายรอบ ค่า Ct ก็จะมาก
จึงสรุปเพื่อเข้าใจโดยง่ายคือ ถ้า
Ct มาก แปลว่า มีไวรัสน้อย
Ct น้อย แปลว่ามีไวรัสมาก

ในงานวิจัยนี้พบว่า ในกลุ่มที่ตรวจไม่พบระดับภูมิคุ้มกันหลังจากหายป่วยแล้ว มีค่า Ct มากกว่า (มีปริมาณไวรัสน้อยกว่า)คนที่พบถึง 11 รอบ
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของสเปนที่พบค่า Ct ในผู้ที่ป่วยแล้วไม่มีภูมิคุ้มกัน มากกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอยู่ 10 รอบ
อีกปัจจัยหนึ่งที่พบร่วมกันก็คือ ผู้ที่หายป่วยแล้วและไม่มีภูมิคุ้มกัน จะมีอายุเฉลี่ยน้อยกว่ากลุ่มที่หายป่วยและมีภูมิคุ้มกันถึง 10 ปี คือระหว่าง อายุ 40 กับอายุ 50 ปี
เมื่อย้อนกลับไปตรวจสอบรายงานวิจัยต่างๆ ที่มีร้อยละของการพบผู้หายป่วยแล้วไม่มีภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน ก็เพราะในแต่ละการศึกษา ตรวจผู้ที่มีปริมาณไวรัสแตกต่างกันนั่นเอง
กล่าวโดยสรุป
1.ผู้ติดโควิดที่รักษาจนหายดีแล้ว จะพบภูมิคุ้มกันต่ำหรือไม่พบ แตกต่างกัน 5-85%
2.ถ้าระหว่างติดเชื้อ มีปริมาณไวรัสเข้าไปในตัวน้อย จะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำและเมื่อหายป่วยแล้วก็จะตรวจหาภูมิคุ้มกันไม่พบ
3.อาการป่วยที่รุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน เชื้อชาติ หรือเพศ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับภูมิคุ้มกันที่จะตรวจพบภายหลังหายป่วยแล้ว
สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามรายงานจากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขประจำวันที่ 31 สิงหาคม 64 พบว่า ตั้งแต่ต้นปี 63 มีผู้ที่หายป่วยจากการติดเชื้อโควิดแล้ว 1,021,772 ราย โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ 171,245 ราย แบ่งเป็นรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 14,308 ราย และอบู่ที่โรงพยาบาลสนามและที่อื่นๆ 157,060 ราย