8 ตุลาคม 2564 – ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ร่วมมือกับศูนย์วิจัย Arup Foresight and Innovation ประเทศออสเตรเลีย ทำการศึกษา 5 ฉากทัศน์อนาคต ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2050 ซึ่งมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและเมืองใกล้เคียง หรือเรียกว่า Greater Bangkok ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกไป 150 กม. เพื่อสร้างการฉุกคิด และตอบโจทย์ความจำเป็นของการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อม
รวมถึงขยายภาพของฉากทัศน์ผ่านการวิเคราะห์ครอบคลุมมิติทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ การใช้ชีวิต (Live) การทำงาน (Work) การเรียนรู้ (Learn) การใช้เวลาว่าง (Play) การคมนาคม (Mobility) และการดูแลทุกสิ่งชีวิตอย่างยั่งยืน (Sustainability)
5 ฉากทัศน์กรุงเทพในปี 2050
ดร.ภัณณิน สุมนะเศรษฐกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านการคาดการณ์อนาคต ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า Greater Bangkok นำไปสู่ความเป็นไปได้ของ 5 ฉากทัศน์อนาคต ดังนี้
เมืองแห่งเทคโนโลยี (Technotopia)
ปัจจัยหลักที่เป็นตัวผลักดันให้เกิดฉากทัศน์นี้ ได้แก่ การพัฒนาของระบบอัตโนมัติ การขยายตัวของคมนาคมที่เชื่อมโยงทั้งภูมิภาคไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน ยกตัวอย่างในฉากทัศนี้ เด็กวัย 7 ขวบจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทั้งการเข้าเรียนระบบออนไลน์จากบนเตียงนอน รวมถึงใช้อุปกรณ์ VR เข้ามาเรียนรู้ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียนอีกต่อไป
เรากำลังเห็นภาพว่า ใน 30 ปีจากนี้ หลังจากที่ทั่วโลกโดนผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเทคฯ มหาอำนาจ นำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนและเชื่อมโยง และประเทศไทยอาจจะนำวิธีการคิดและการปฎิบัติการด้านการปกครองของบริษัทเทคฯ เข้ามาบริหารและบริการประชาชนมากขึ้น
" ประเทศไทยต้องแน่ใจว่าจะบริหารจัดการหนี้ต่างๆ จากการกู้ยืมภายในปี 2030 เพื่อช่วยระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการพัฒนาเมืองโดยรอบ และ การเพิ่มขึ้นของประชากรกว่า 25 ล้านคนในกรุงเทพและเมืองโดยรอบ จะส่งผลให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในจุดศูนย์รวมการทำธุรกิจของเอเชียภายในปี 2050 "
พื้นที่สุขภาพนิยม (Urban Playgrounds)
คนจะให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น หรือ Active Lifestyle ในทุกช่วงอายุ รวมถึงแนวโน้มถึงนโยบายที่ส่งเสริมในการพัฒนาเมืองเพื่อให้พร้อมกับกิจกรรมต่างๆ และพัฒนาทักษะของคนที่อยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้น ที่จะดึงดูดให้คนเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อทำงานมากขึ้นเช่นกัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการทำงานเพื่อออกแบบและตอบโจทย์ให้กับความหลากหลายของคนในเมือง เช่น ผู้บกพร่องทางร่างกาย แต่ว่ายังสามารถออกมาทำกิจกรรมด้านกายภาพได้อยู่ เป็นต้น
ซึ่งประเทศไทยควรมุ่งพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์กับคนทุกช่วงวัย ให้หันมาสนใจด้านสุขภาพ รวมถึง พัฒนาพื้นที่โดยรอบให้ปลอดภัย ส่งเสริมการดูแลสุขภาพของผู้อาศัยอยู่ในเมือง ให้รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดเวลาภายในปี 2030 และเมื่อตอบโจทย์คนในประเทศได้ ในปี 2050 ไทยจะสามารถดึงดูดคนทั่วโลกที่สนใจด้าน Active Lifestyle ที่ตอบโจทย์ทางด้านนี้ได้อย่างสมบูรณ์
เมืองพร้อมรับทุกสภาวะ (Decentralised Resilience)
การให้ความสำคัญเกี่ยวกับการปรับตัวให้พร้อมรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่แปรปรวน รวมถึงสามารถกลับมาสร้างพื้นที่อยู่อาศัยร่วมกับชุมชนโดยรอบ การคมนาคมระหว่างกรุงเทพและเมืองรอบๆ ควรเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานให้กับคนกรุงเทพ สามารถเดินทางได้ ถึงแม้ว่าจะเจอกับภาวะน้ำท่วมในเมืองก็ตาม นอกจากนี้ การดูแลคนในเมือง ชุมชน รวมถึงเมืองโดยรอบ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
" เรากำลังเห็นภาพปัญหาหลักคือ ภาวะน้ำแล้ง น้ำท่วม ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบขนส่ง หรือ ระบบการผลิตอาหาร จะทำให้ต้องเปลี่ยนแปลง หรือ ย้ายเมืองหลวงออกไป ซึ่งจะเกิดภาพของความเหลื่อมล้ำของกรุงเทพเก่า (กรุงเทพที่โดนภัยพิบัติธรรมชาติ เช่นน้ำทะเลหนุนท่วมในเขตเมือง ที่ยังไม่พัฒนา) และ กรุงเทพใหม่ อาจจะเห็นภาพเศรษฐกิจภายในเมืองเก่าพังทลาย เกิดภาพคนจนเมือง คนไร้บ้านมากขึ้น และต้องอพยพไปอยู่ตึกทิ้งร้าง หรือ ออกไปนอกเมืองมากขึ้น ทั้งนี้ในกรุงเทพเก่าอาจจะเกิดนวัตกรรมแบบไม่เป็นทางการ เช่น บ้านลอยน้ำ (floating house) หรือ โครงสร้างแบบบ้านกึ่งสำเร็จรูป (Pod House) หรือ การใช้ตึกร้างทำฟาร์มพลังงานสะอาดทางเลือก เป็นต้น ที่สามารถอยู่ร่วมกับภัยพิบัติอย่างเลี่ยงไม่ได้ "
ดังนั้น ประเทศไทยควรมุ่งแก้ไขปัญหาเรื่องผลกระทบจากภาวะน้ำแล้ง น้ำท่วม ทั้งในตัวเมืองกรุงเทพและเมืองโดยรอบ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่กลุ่มอุตสาหกรรมแบบ Mix-Used และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ ภายในปี 2030 และ การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้ไทยมีเมืองที่รับมือกับปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ที่สามารถบริหารจัดการปัญหาดังกล่าวได้อย่างดี ภายในปี 2050
ขุมพลังของคนหลายเจน (Accelerated Generations)
การพัฒนาการศึกษาและการพัฒนาทักษะ จะต้องได้รับการปรับปรุงอย่างมากในพื้นที่กรุงเทพและเมืองโดยรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการกลับมาของคนสูงวัยสู่ตลาดแรงงานอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสร้างคุณค่าร่วมกันโดยการดึงเอาชุมชนเข้ามาช่วยออกแบบกับคนเมือง ให้ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองและดูแลสภาพแวดล้อมควบคู่กันไป
เพื่อตอบโจทย์การรองรับคนสูงวัยกลับเข้ามามีบทบาทในสังคมของกรุงเทพและเมืองโดยรอบ ประเทศไทยต้องใช้แนวคิดที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินเศรษฐกิจ เน้นภูมิปัญญาตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวและความสมดุลกับธรรมชาติ ภายในปี 2030 และ ไทยจะขับเคลื่อนเน้นความเป็นผู้นำด้าน Startups ในปี 2050 ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของคนหลากหลายวัยภายในตลาดแรงงาน ที่หันมาร่วมมือกัน ประสานความรู้และเชี่ยวชาญของคนสูงวัยร่วมกับแนวคิดใหม่ของวัยทำงานในอนาคต
ไลฟ์สไตล์ผสานกายใจ (Transforming Lifestyle)
การท่องเที่ยวจะมีจุดเปลี่ยนค่อนข้างสำคัญในอนาคต ควบคู่กับนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม จะมีส่วนช่วยสำคัญให้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเชิงสุขภาพมีนัยะสำคัญมากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาทักษะของกลุ่มคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะสำคัญเช่นกัน เรากำลังเห็นภาพ การเปลี่ยนแปลงมุมมองของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด จากการมองเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นนักท่องเที่ยวที่อยู่และเที่ยวในไทยระยะยาวที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจ นอกจากนี้เรายังเห็นถึงการเข้าถึงสุขภาวะการดำรงชีวิตที่ดี ส่งเสริมให้คนดำเนินชีวิตช้าลง กลับมามองถึงคุณค่าของการดำรงชีวิตและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
" ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในอนาคต เพื่อวางกลยุทธ์ให้เมืองใหญ่และเมืองโดยรอบในการตอบโจทย์ Mega City ภายในปี 2030 ที่สะท้อนความเป็นเมืองสีเขียว ฟื้นฟูสุขภาพกายใจ และสร้างพื้นที่เพื่อพัฒนาทักษะในอนาคต ให้ดึงดูดคนทำงานจากทั่วโลกให้เข้ามา เพื่อย้ำเตือนจุดยืนความเป็นเมืองที่ส่งเสริมด้านความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นเมืองสีเขียวที่สามารถฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างยั่งยืน รวมถึงมีพื้นที่การเรียนรู้ในอนาคตแบบใหม่ ถือเป็นเป้าหมายหลักในปี 2050"
ข้อมูลอ้างอิง : งานวิจัย Future of Urbanisation Scenarios