วันออกพรรษา หรือเรียกอีกอย่างว่า วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา ชาวพุทธถือกันว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากการจำพรรษาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังเป็นวันที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ในทุกระดับชั้นที่ได้จำพรรษาร่วมกันมาตลอด 3 เดือนสามารถ “ว่ากล่าวตักเตือน ชี้ข้อบกพร่องของกันและกันได้” แต่ทั้งนี้ ต้องเป็นไปด้วยความเมตตาปรานี ปรารถนาดีต่อกัน บนพื้นฐานของความเสมอภาค เพราะคำว่า “ปวารณา” นั้น แปลว่า “อนุญาต” หรือ “ยอมให้”
หลังจากการทำพิธีออกพรรษาแล้วพระภิกษุสงฆ์สามารถทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ตามปกติ และสามารถค้างแรมในสถานที่ต่างๆ ที่ไปแสดงเทศนาได้ โดยที่ไม่ผิดพระพุทธบัญญัติใดๆ
แม้การปวารณาจะเป็นเรื่องระหว่างพระสงฆ์ด้วยกัน แต่การออกพรรษาก็เป็นวาระสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน
โดยในวันรุ่งขึ้น คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 มีประเพณีทำบุญตักบาตร ที่เรียกกันว่า “ทำบุญตักบาตรเทโว” หรือเรียกเต็มๆ ว่า “ตักบาตรเมโวโรหนะ” สืบเนื่องจากความเชื่อตามตำนานที่ว่าวันนี้ เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจาก “เทวโลก” หลังจากที่ได้เสด็จกลับจากการไปโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บางวัดอาจจัดพิธีทำบุญตักบาตรธรรมดา แต่บางวัดก็จัดเป็นงานใหญ่โต เสร็จจากการทำบุญตักบาตร พุทธศาสนิกชนจะไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล
การทำบุญตักบาตรเทโว (ตักบาตรเทโวโรหณะ) หรือการตักบาตรดาวดึงส์นั้น โดยประเพณีที่ปฏิบัติกัน มักจะมีการนำข้าวต้มมัดและข้าวต้มลูกโยนมาใส่บาตร เสมือนการต้อนรับพระพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษาที่นิยมปฏิบัติ คือ
ประเพณีเทศน์มหาชาติ-การทอดกฐิน
หลังจากออกพรรษา 1 เดือนจะมี ประเพณีเทศน์มหาชาติ ที่เหล่าพุทธศาสนิกชนจะร่วมกันทอดกฐิน โดยประเพณีเทศน์มหาชาติได้มีการสืบเนืองมาตั้งแต่สมัยโบราณและถือว่าการได้ฟังเทศน์มหาชาติจนจบนั้นจะได้รับผลบุญอันมหาศาลอีกด้วย
นอกจากนี้ ภายใน 1 เดือนหลังออกพรรษา ยังมี พิธีทอดกฐิน และ ทอดผ้าป่า ที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล พิธีทอดกฐินคือการสร้างความสามัคคีระหว่างคณะสงฆ์ โดยการอนุเคราะห์ภิกษุที่มีจีวรชำรุด คำว่า “กฐิน” เป็นชื่อเรียกไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้าเหล่านั่นมาห่มได้หลังจากการจำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว โดยมีเรื่องเล่าอยู่ว่าในสมัยพุทธกาล มีภิกษุจำนวน 30 รูปมีความต้องการจะเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ด้วยความที่อยู่ห่างไกลมาก จึงจำเป็นต้องเข้าพรรษาก่อนที่จะเดินทางไปถึง
และหลังจากออกพรรษาเหล่าภิกษุก็เดินทางต่อ ซึ่งต้องผ่านร้อน ผ่านหนาว ไปตลอดทางทำให้เมื่อเดินทางถึงสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่นั้น จีวรที่ภิกษุห่ม ทั้งขาดทั้งเปื้อน เมื่อพระศาสดาทรงเห็นจึงประทานผ้ากฐินให้แก่ภิกษุทั้ง 30 รูป
โดยประเพณี วัดที่จะสามารถรับกฐินได้ ต้องมีพระภิกษุจำพรรษาโดยไม่ขาดพรรษาเลยไม่ต่ำกว่า 5 รูป และแต่ละวัดสามารถรับกฐินได้ปีละ 1 ครั้ง การทอดกฐินเป็นกาลทานตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ การทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน
ส่วนการทอดผ้าป่า คือการอุทิศผ้าจีวรโดยไม่เจาะจงให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ผ้าป่าหรือผ้าบังสุกุลจีวร ที่ในสมัยก่อนพระสงฆ์สามารถห่มผ้าบังสุกุลได้เท่านั้นทำให้การหาผ้ามาทำจีวรมีความยากลำบาก จึงต้องหาเศษผ้าที่ทิ้งแล้วหรือผ้าเก่าๆ ตามกองขยะ แม้กระทั่งผ้าห่อศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้ามาทำจีวร และก็เป็นส่วนที่ทำให้เกิดพิธีการทอดผ้าป่านั่นเอง