กรณี การยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว ยังคงเป็นประเด็นร้อน ล่าสุด วันนี้ ( 25 ต.ค.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวผ่านบทความที่เผยแพร่บน เพจเฟซบุ๊ก Borwornsak Uwanno เตือน นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และคณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ที่ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2564 มีมติยกเลิกขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ โดยระบุเป็นกิจกรรมสะท้อนระบอบอำนาจนิยม และความเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน
นายบวรศักดิ์กล่าวเปิดประเด็นเรื่องนี้ว่า จะขอพูดในฐานะคนไทยไม่ใช่ในฐานะอาจารย์หรือนิสิตเก่าจุฬาฯ ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเนื้อหา เริ่มว่า....
เนติวิทย์และคณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯอีก 28 คน โปรดจงฟัง
เธอและเราต่างเป็นคนไทย เธอและเราเรียนจุฬาฯเหมือนกัน แต่เราจบปี2519 เธอยังเรียนอยู่ กรรมการบางคนโดยเฉพาะที่เรียนนิติศาสตร์คงเคยเรียนกับเรา
แต่วันนี้เราจะขอพูดในฐานะคนไทยไม่ใช่ในฐานะอาจารย์หรือนิสิตเก่าจุฬาฯ
เธอทั้ง 29 คนออกแถลงการณ์ยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ในวันที่ 23 ตุลาคม ทั้งที่ปีนี้ไม่มีการแข่งขันฟุตบอลดังกล่าว และเธอประชุมเรื่องนี้มานานก่อนหน้าวันที่23ตุลา เธอมีวาระซ่อนเร้นที่จะใช้วันปิยมหาราชที่คนไทยระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำสิ่งที่อารยชนไม่ทำกันคือดูถูก ดูหมิ่นพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ในพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็น”สัญลักษณ์ของศักดินา”
เธอมีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมนั้น เธอมีสิทธิ์ไม่เข้าร่วม เหมือนที่เราไม่เคยเห็นด้วยกับการให้รุ่นพี่ว้าก(ตะโกนด่า)รุ่นน้องในห้องเชียร์ เราจึงไม่เคยเข้าห้องเชียร์ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯเลยตั้งแต่่เข้าเรียนจนเรียนจบในปี2519 เราเคารพการเลือกของเธอ
แต่ที่เราไม่อาจรับได้คือเธอไม่เคารพคนไทยที่เขายังจงรักภักดีต่อมหาราชพระองค์นั้น เธอเขียนถ้อยคำอันทำร้ายจิตใจของคนไทยเป็นอันมากซึ่งทำให้เรา คนไทยคนหนึ่งต้องออกมาอธิบายให้เธอฟังทีละประเด็นเป็นวิทยาทาน
1) เธออ้างว่ากิจกรรมนั้น”สนับสนุนและสะท้อนถึงระบอบอำนาจนิยม” เราอยากบอกเธอว่าครูเธอที่คณะรัฐศาสตร์ คงสอนการแบ่งประเภทระบอบการปกครองที่ดีและที่เลวของอริสโตเติลมาแล้ว โดยดูจำนวนผู้ใช้อำนาจสูงสุดและวัตถุประสงค์ของการใช้อำนาจว่าเป็นไปเพื่อทุกคนในสังคม(แบบที่ดี)หรือเพื่อตัวผู้ปกครองเท่านั้น(แบบเลว) เธอจำได้ไหมว่าอริสโตเติลจัดระบอบกษัตริย์(monarchy)ที่ทำเพื่อทุกส่วนในสังคมว่าเป็นการปกครองที่ดี แต่ถ้าทำเพื่อกษัตริย์เองเท่านั้น ท่านจัดเป็นระบอบทรราช(tyrany)
พระมหาราชพระองค์นั้นทรงมีพระราชปณิธานในการทรงสถาปนาการอุดมศึกษาโดยมีพระราชดำรัส ณ โรงเรียนราชกุมาร ที่อ้างกันเสมอว่า
“ทั้งจะมีโรงเรียนวิชาอย่างสูงขึ้นไปอีกซึ่งกำลังคิดจัดอยู่บัดนี้ เจ้านายตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นไป ตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำสุดจะได้มีโอกาสเล่าเรียนได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้าว่าขุนนางว่าไพร่”
เพราะพระราชปณิธานนี้เองที่ทำให้เธอและเราได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ทรงวางรากฐานอย่างเสมอกัน
เราคงไม่ต้องบอกเธอนะว่าล้นเกล้าฯพระองค์นั้นปลดปล่อยทาสและเลิกระบบไพร่ที่เป็นรากฐานของศักดินา หาไม่แล้วบรรพบุรุษทั้งของเธอและของเราคงจะเป็นไพร่อยู่อีกนาน
พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงปฏิรูปการปกครอง การศาลและกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคมเพื่อสยามประเทศและคนไทยเพียงใด ไม่ได้ทรงทำเพื่อพระองค์เอง เราคงไม่ต้องอธิบาย เธอไปค้นคว้าเอาได้ตามวิสัย”นักศึกษา”
2) เธอบอกว่ากิจกรรมนั้น “ค้ำยันความเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน” เธออ้างหลักความเสมอภาค(equality) เห็นได้ชัดว่าเธอสับสนระหว่างการแบ่งงานกันทำตามหลักdivision of labour กับความเสมอภาค
การที่เธอทำหน้าที่นิสิต และนิสิตอื่นๆเลือกเธอไปทำหน้าที่นายกสโมสร เธอและนิสิตที่เลือกเธอก็ยังเป็นนิสิตเสมอกัน ต่างกันตรงที่เธอถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่นายกสโมสรจนกว่าจะพ้นวาระ ถ้าตรรกะเธอถูกเธอก็ต้องบอกว่านิสิตที่เลือกเธอไม่เสมอภาคกับเธอหรอก เพราะเธอเป็นถึงนายกสโมสร นิสิตคนอื่นจะเท่ากับเธอได้อย่างไร? คนอเมริกันเลือกไบเดนเป็นประธานาธิบดี ถ้าเขาใช้ตรรกะเธอ เขาจะเลือกไบเดนไปทำไม ถ้าเห็นว่าไบเดนมีทำเนียบขาวอยู่ฟรี มีการ์ดตั้งเป็นร้อย มีเงินเดือนและผลประโยชน์อื่นอีกมาก แต่เขาเลือกประธานาธิบดีเขาเพราะเขารู้ว่านั่นคือการแบ่งงานกันทำ ไม่ใช่เลือกเพราะเขาต้องการสนับสนุนความเชื่อที่ว่าคนไม่เท่ากัน การเป็นพระมหากษัตริย์ก็คือการแบ่งหน้าที่และแบ่งงานกัน เหมือนที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ในอัคคัญสูตร ว่าพราหมณ์ไม่ได้เกิดจากปากพระพรหมดอก แต่ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูตร คือการแบ่งหน้าที่กันทำ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ลองคิดดูว่าถ้านิสิตจุฬาฯทุกคนเป็นนายกสโมสรได้เหมือนเธอ เนติวิทย์ อะไรจะเกิดขึ้น???
การแบ่งงานกันเชิญพระเกี้ยวคนหนึ่ง แบกเสลี่ยงอีก 50 คนเป็นการแบ่งงานกันทำ ไม่ใช่ตอกย้ำความไม่เสมอภาค
แม้ความเสมอภาค (equality) ที่เป็นหลักปัจเจกชนนิยม หลักประชาธิปไตยและหลักกฎหมายมหาชน และเป็นคำขวัญการปฏิวัติฝรั่งเศสเอง ก็ไม่ใช่เสมอภาคแบบทื่อๆหลับตาพูด ว่าเท่าเทียมกันทุกคน ทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ ถ้าคิดแบบนั้นจริง ก็ตื้นเขินเกินไป เพราะไม่มีทางเป็นจริงไปได้เลย
ถ้าเสมอภาคแบบทื่อๆ ทุกคนที่อยากเรียนจุฬาฯ ต้องได้เรียนไม่ใช่หรือ? แต่ทำไม เธอและเพื่อนเธออีก28คนและนิสิตอีกจำนวนหนึ่งได้เรียน คนอื่นอีกหลายหมื่นคนอยากเรียนแต่ไม่ได้เรียนล่ะ?แล้วเธอและเพื่อนเธอที่เข้าจุฬาฯได้ เสมอภาคเท่าเทียมกันคนที่เข้าเรียนไม่ได้เหรอ? เธอคงตอบได้ว่ามันไม่เท่าเทียมกันจริงหรอก แต่มันก็ไม่ขัดกับหลักความเสมอภาคนะ เพราะความเสมอภาคเท่าเทียม100%ในทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ประกาศหลักนี้ในคำประกาศสิทธิมนุษย์และพลเมืองฝรั่งเศส 1789 จึงพูดไว้ชัดในคำประกาศข้อ1ว่า
“มนุษย์ทุกคนเกิดมาและดำรงอยู่อย่างมีอิสระและเสมอภาคกันในสิทธิ การแบ่งแยกทางสังคมจะกระทำได้ก็แต่เพื่อประโยชน์ร่วมกัน”
และในข้อ 6 ซึ่งพูดถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายก็วางข้อยกเว้นไว้ว่า
“…..พลเมืองทุกคนย่อมเสมอภาคเท่าเทียมกันตามกฎหมาย และในเกียรติยศศักดิ์ศรี ตลอดจนฐานะและตำแหน่งหน้าที่การงาน ทั้งนี้ ตามความสามารถของแต่ละคน โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ ยกเว้นการแบ่งแยกด้วยความดีและความสามารถของแต่ละคน”
เธอและคนที่เรียนจุฬาฯอยู่ในเวลานี้ไม่เท่าเทียมกับคนที่ไม่ได้เรียน แต่เป็นความไม่เท่าเทียมหรือการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม( fair discrimination)ที่รับได้และถือว่าไม่ขัดหลักความเสมอภาค เพราะเลือกปฏิบัติด้วยความสามารถในการสอบเข้า ไม่ใช่เลือกปฏิบัติเพราะเหล่ากำเนิด เพศ ศาสนา ความเชื่อฯลฯซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม(unfair discrimination) นอกจากนั้น บางเรื่องต้องสนับสนุนให้มีการเลือกปฏิบัติกันเลยทีเดียวโดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องคนด้อยโอกาสต่างๆ เช่น คนพิการ เด็ก คนชรา ต้องปฏิบัติต่อเขาให้มากกว่าที่ให้คนอื่นเรียกว่าการเลือกปฏิบัติทางบวก(positive discrimination)เพื่อช่วยให้พวกเขาได้เท่าเทียมคนอื่นๆ
ต่อไปถ้าเธอจะอ้างหลักใดๆ โปรดอย่าใช้แต่ความรู้สึก แต่จงใช้ความรู้แทนนะ จะได้ไม่ตื้นเขินเกินบรรยายอีก
3) เธอและพวกของเธอพูดว่า”สัญลักษณ์ของศักดินาคือ”พระเกี้ยว” “และขบวนแห่พระเกี้ยวเป็น”ภาพแทนวัฒนธรรมแบบศักดินา”
เธอรู้หรือไม่ว่าเธอใช้เสรีภาพเธอแบบผิดๆ ไปทำร้ายความรู้สึกคนไทยจำนวนมากที่ยังรักและภักดีต่อพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้น
วัฒนธรรม ประเพณีเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคมที่บอก “ราก”และ”ฐาน”ของสังคมนั้น เราและคนไทยมีความภูมิใจในวัฒนธรรมไทย ภาษาไทย แต่กับเธอเราจะหลีกเลี่ยงที่จะเรียกตัวแทนสโมสรจากคณะนิติศาสตร์ว่าเป็น”ลูกศิษย์”ซึ่งเป็นคำที่บอกวัฒนธรรมไทยที่ลึกซึ้งว่าเราสอนใคร เราคิดว่าเขาเป็นทั้ง”ลูก” และ “ศิษย์” เราต้องรักและปฏิบัติกับเขาเหมือนลูกของเรา เราเรียกเธอด้วยคำกลางๆดีกว่าว่า เธอเป็น”ผู้เรียน”ก็คงจะไม่ว่า(ยกเว้นเธอคนนั่นไม่เคยเข้าเรียน) เห็นหรือยัง ว่าวัฒนธรรมและภาษาไทยของคนไทย สะท้อนสิ่งที่ฝรั่งไม่มี เธอหาคำฝรั่งที่แปลว่า”เกรงใจ”ให้เราดูสิว่ามีไหม
คนปฏิเสธวัฒนธรรมคือคนปฏิเสธรากเหง้าของตนเอง!!!
คนอังกฤษเขาภูมิใจที่เห็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่2 ทรงขัตติยราชภูษาภรณ์เต็มยศเสด็จไปประทับบนพระราชอาสน์ในสภาขุนนางทรงเปิดประชุมสภาที่ปฏิบัติกันมาหลายร้อยปีโดยไม่เคยประนามว่าเป็นวัฒนธรรมศักดินา ตรงกันข้ามเขาภูมิใจว่าเขามีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามและสอดคล้องกับคุณค่าสากลอย่างประชาธิปไตย เราไม่เคยเห็นใครว่าประเพณีนั้นของอังกฤษเป็นประเพณีที่ล้าหลังขัดต่อคุณค่าสากลเลย
ในทำนองเดียวกัน เราเห็นว่าประเพณีการแห่พระเกี้ยว เป็นความงดงามที่คนไทย นิสิตไทย มีความกตัญญูต่อพระผู้สถาปนามหาวิทยาลัยที่ใช้พระปรมาภิไธยเป็นมงคลนามของมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่งดงามทั้งใจ กาย โดยเฉพาะต่อองค์พระผู้ทรงยกเลิกระบบศักดินาโดยทรงเลิกไพร่ เลิกทาส เราเชื่อว่าคนไทยอีกหลายล้านคนคงคิดเช่นนี้ เช่นเดียวกับนิสิตจุฬาฯอีกหลายพันคนที่เลือกคุณเป็นนายกสโมสร
กิจกรรมที่เชิญพระเกี้ยวจึงเป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่แสดงความกตัญญู รู้คุณต่อพระผู้พระราชทานกำเนิดแก่สถาบันที่เธอและพวกได้เรียนอยู่ในวันนี้ เราภูมิใจทุกครั้งที่เห็นขบวนนี้เหมือนกับคนฝรั่งเศส คนอิตาเลียน คนสเปนที่แห่รูปพระแม่มารี แห่รูปเซนต์ต่างๆที่เขานับถือ ไปด้วยความศรัทธา เป็นความงดงามของคนที่มี”ราก” มี”ฐาน”เป็นที่ตั้ง
เราเสียดายนักที่ เธอใช้”ความรู้สึก” มาตัดสินเรื่องนี้ แทนที่จะใช้”ความรู้” เธอจะเป็นปัญญาชนไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ปัญญา จงระวังให้ดีว่าใช้ความรู้สึกอย่างเดียวจะทำให้เธอเป็น”ปัญหาชน” ที่ไร้ราก ไร้ฐาน แลอาจจะไร้อะไรๆอีกมากก็ได้
สำหรับอาจารย์จุฬาที่เขาอ้างว่าไปบังคับนิสิตหอในให้มาแบกเสลี่ยงนั้น ถ้าเป็นความจริงอธิการบดีต้องแก้ไข ห้ามอาจารย์ใช้อำนาจครอบงำผู้เรียนเช่นนั้นอีก หากทำไปเพื่อแสวงประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นผิดพรบ อุดมศึกษา พ.ศ.2562 มาตรา72 และ78 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โปรดอย่าทำอีกเป็นอันขาด
บทความนี้ลงท้ายด้วยชื่อผู้เขียน ....บวรศักดิ์ อุวรรณโณ คนไทยคนหนึ่งที่ภูมิใจในขบวนแห่พระเกี้ยว