10 คำถามสำคัญเกี่ยวโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน"

20 ธ.ค. 2564 | 12:18 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ธ.ค. 2564 | 20:41 น.

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ตอบ 10 คำถามสำคัญเกี่ยวโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน" ที่ควรรู้

วันนี้ประเทศไทยพบผู้ติดโควิดสายพันธุ์โอมิครอนแล้ว  63 ราย อยู่ในการดูแลควบคุมป้องกันโรค และยังรอยืนยันอีก 20 ราย ในส่วนของจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศไทย เกือบทั้ง 63 ราย เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ มีเพียง 1 รายเป็นการติดเชื้อในประเทศ จากเคสที่สามีเป็นนักบิน และนำเชื้อมาติดภรรยา

 

ล่าสุด ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับโควิด “โอมิครอน” ที่ควรรู้

1.โอมิครอนมีแหล่งกำเนิดมาจากที่ใด มี time line อย่างไร

จากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ “โอมิครอน” ย้อนกลับคาดว่าเกิดเป็นโรคอุบัติใหม่ในทวีปแอฟริการาวเดือน ตุลาคม 2564

9 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่แล็บของ “Lancet Laboratories ใน พริทอเรีย หนึ่งในเมืองหลวงสามเมืองของแอฟริกาใต้” ตรวจพบความผิดปรกติในการตรวจ PCR คือตรวจไม่พบหนึ่งใน 3 ยีน  (S gene dropout หรือ S gene target failure)

24 พฤศจิกายน 2564 ประเทศแอฟริกาใต้ แจ้งให้ WHO  ทราบ ถึงการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ “B.1.1.529” โดยจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่ามีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัส “Wuhan” ถึง “60 ตำแหน่ง” โดยเฉพาะบริเวณหนาม ต่างไปถึง “35 ตำแหน่ง” 

26 พฤศจิกายน 2564  WHO ตั้งชื่อตามอักษรกรีกลำดับที่ 15 ว่า “โอมิครอน” (ภาพ 2)

 

2.โอมิครอนจะมีการระบาดเข้ามาแทนที่ “เดลตา” ได้อย่างสมบูรณ์หรือจะกลายเป็น Twindemic (Twin-แฝด + Pandemic-การระบาดใหญ่) กล่าวคือเกิดการระบาดสองสายพันธุ์ (เดลตา และ โอมิครอน) ไปพร้อมกัน

ข้อมูลจากแอฟริกาใต้ แสดงให้เห็นว่า “โอมิครอน” เข้ามาแทนที่ “เดลตา” เป็นที่เรียบร้อย

ข้อมูลจากสวีเดน โอมิครอน” กำลังระบาดเข้ามาแทนที่ “เดลตา” ในอีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า แม้ประชากรจะฉีดวัคซีนแล้วร้อยละ 80%

ข้อมูลจากอังกฤษพบ “โอมิครอน”ประมาณ 50% จากผู้ติดเชื้อรายใหม่

ข้อมูลจากอเมริกา “โอมิครอน” เริ่มระบาด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ยังเป็น “เดลตา”  (ภาพ 3)

สรุปได้ว่า “โอมิครอน”  น่าจะระบาดเข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดิม โดยในแต่ละประเทศจะใช้เวลาการเข้ามาแทนที่ช้าเร็วแตกต่างกัน

 

3. ควรปิดประเทศหรือไม่ เพื่อเลี่ยงการระบาดของ “โอมิครอน”

การปิดประเทศเป็นเพียงทำให้การระบาดของ “โอมิครอน” ช้าลง เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมพร้อม เช่น เร่งฉีดวัคซีน เตรียม ยา เตรียม รพ.  เตรียมเครื่องช่วยหายใจให้พร้อม ฯลฯ  อย่างไรก็ดีต้องชั่งน้ำหนักให้ดีหากจะปิดควรปิดในพื้นที่เล็ก และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะการปิดทั้งจังหวัดหรือทั้งประเทศเนื่องจากความ “ตระหนก” จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อ เศรษฐกิจ การศึกษา (ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต) และ สุขภาพจิต (อาจนำมาสู่การประท้วงใหญ่ นำไปสู่การไม่ให้ความร่วมมือของประชาชนในการควบคุมโรค เช่น การใส่หน้ากากอนามัย การฉีดวัคซีน ดังที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรบและอเมริกา)

 

4. มีโอกาสรับเชื้อ “โอมิครอน” จากประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันหรือไม่

ข้อมูลจากไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในช่วงขาลงด้วยกันทั้งสิ้น มีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงมาก พบการติดเชื้อ “โอมิครอน” ประปราย ดังนั้นมีโอกาสพอๆกันที่ไทยจะแพร่สายพันธุ์ “โอมิครอน”ให้กับเพื่อนบ้านพอๆกับที่เพื่อนบ้านจะแพร่ให้กับไทยบริเวณชายแดน (ดูภาพ 4)

 

5. จะเกิดสายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง “โอมิครอน” และ เดลตา” หรือไม่ และหากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลอย่างไร

สายพันธุ์ลูกผสมเกิดขึ้นแล้วระหว่าง “โอมิครอน” กับ “ไวรัสโคโรนา” ที่ก่อให้เกิดไข้หวัด (common cold)  มีโอกาสสูงที่จะเกิดลูกผสมระหว่าง “โอมิครอน” และ “เดลตา”  แต่คาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอาการรุนแรงขึ้นกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่ (ภาพ 5)

 

6. ท้ายที่สุด “โอมิครอน” จะกลายเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคประจำถิ่น (Endemic) หรือไม่

ตอนนี้เริ่มเห็นแสงสว่างรำไรปลายอุโมงค์ ผู้ติดเชื้อ “โอมิครอน” มีอาการไม่รุนแรง ไม่ต้องเข้า รพ. เป็นส่วนใหญ่  ตัวไวรัสเองทำหน้าเสมือนวัคซีน “เชื้อเป็น”  สร้างภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนา 2019 ไปทั่วโลก ผนวกกับภูมิคุ้มกันที่ประชากรโลกได้รับจากการฉีดวัคซีนน่าจะทำให้ไวรัสโคโรนา 2019 กลายสภาพเป็นโรคประจำถิ่นได้ กล่าวคือมีการติดต่อในวงแคบ อาการไม่รุนแรง และอาจมีการแพร่ระบาดตามฤดูกาล คล้ายไข้หวัดในที่สุด

 

7. ทำไมการติดเชื้อ “โอมิครอน” มีอาการไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม

เป็นไปได้ในสองแนวทางซึ่งต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลทางคลินิกมายืนยัน

แนวทางที่หนึ่ง “โอมิครอน” มิได้มีอาการมารุนแรง ลดลง แต่เป็นเพราะมนุษย์มีภูมิคุ้มกันมากขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและการฉีดวัคซีน

แนวทางที่สอง รายงานจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง  พบว่า  “โอมิครอน” เพิ่มจำนวนในหลอดลม (bronchus) ได้รวดเร็วกว่าเดลตาถึง “70 เท่า”  แต่ไม่ติดเชื้อลงลึกเข้าไปในเนื้อปอด ไม่แพร่ไปที่ถุงลมอันก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบ ซึ่งน่าจะปัจจัยที่ทำให้  “โอมิครอน” แพร่ระบาดได้รวดเร็ว กว่าทุกสายพันธุ์ แต่มีอาการไม่รุนแรง

https://researchnews.cc/.../HKUMed-finds-Omicron-SARS-CoV 

 

8. วัคซีนที่ฉีดเข้าไปจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ การเจ็บป่วย  การเสียชีวิต ได้มากน้อยแค่ไหน

ต้องรอดูจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกับเราว่าเป็นอย่างไร  เพราะมีการฉีดวัคซีน เชื้อตาย ตามด้วยวัคซีนไวรัสเป็นพาหะ และฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีน mRNA เช่นเดียวกับปะเทศไทย โดยข้อมูลล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศไทย 

 

9. ทำไมต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 3  และควรห่างจากเข็มที่สองกี่เดือน

เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจจะอยู่ไม่นาน ภูมิจะตกลงไปใน 3 เดือน 6 เดือนอันเป็นเรื่องปรกติ เราจึงควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายใน 3-6 เดือนหลังเข็มที่ 2 และอาจพิจารณาฉีดเข็มที่ 4 ใน  6-12 เดือนหลังจากเข็ม 3  (ภาพที่ 7-8)  การฉีดวัคซีนกระชั้นไปจะไม่เกิดประโยชน์อะไร ต้องรอให้ภูมิเริ่มตกสักหน่อยถึงฉีดกระตุ้นจะได้ประสิทธิภาพสูงกว่า การฉีดวัคซีนประเภทเดียวกันซ้ำๆ และถี่เกินไปจะทำให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายทั้งประเภท B และ T cells จดจำแต่เฉพาะวัคซีนที่ฉีดเข้าไป หากในอนาคตเกิดมีความจำเป็นต้องใช้วัคซีนชนิดใหม่ B และ T cells อาจไม่เหลือ memory cells เพียงพอที่จะให้จดจับ

 

10. เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของ “โอมิครอน”

  • สวมหน้ากากอนามัย  เว้นระยะห่างทางสังคม อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเท
  • ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ใน 3 เดือน และเตรียมพร้อมรับการฉีดเข็ม 4 ใน 6 เดือนหากจำเป็น
  • เตรียมยาต้านไวรัส ทั้งสมุนไพรไทย และ ยาต่างประเทศ ให้พร้อมใช้ในทันทีที่ติดเชื้อ
  • ภาครัฐบริหารจัดการเรื่องการตรวจกรองด้วย “PCR” ส่วนภาคประชาชนให้ความร่วมมือด้วยการตรวจ “ATK” แล้วรายงานให้เจ้าหน้าที่สาธารสุข ได้ทราบ
  • ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ตรวจจีโนไทย์ 47 ตำแหน่ง 7 สายพันธุ์พร้อมกัน (โอมิครอน, เดลตา, อัลฟา, บีตา, แกมมา, B.1.36.16, และ  B.1.524 ภายใน 48 ชั่วโมง สามารถตรวจได้ 500-1,000 ตัวอย่างต่อ สัปดาห์  
  • ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี  สนับสนุนกระทรวงสาธารสุข ในการถอดรหัสพันธุกรรม โดยสามารถช่วยถอดรหัสพันุกรรมทั้งจีโนมจำนวน 50-100 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ และหากมีความจำเป็นสามารถปรับเป็น 1,000 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ได้ในทันที เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมโรค และติดตามการกลายพันธุ์ว่าส่งผลต่อ ชุดตรวจ   วัคซีน และ ยา หรือไม่ 
  • ให้ความร่วมมือกับทั่วโลกด้วยการแชร์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมบนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID”
  • สนับสนุนกรมควบคุมโรค และบุคลากรทางการแพทย์หน้างาน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (village health volunteers, VHV) หรือ อสม. เข้าควบคุมตัดตอนการระบาดอย่างรวดเร็ว