นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ค้านการนำโรคโควิด-19 (Covid-19) ออกจากการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เนื่องจากจะกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอย่างมาก รวมถึงกระทบต่อแรงงานรายวัน
และยังจะทำให้การป้องกันและควบคุมทำได้ยากลำบากขึ้น เนื่องจากแรงงานรับจ้างรายวันจะไม่บอกนายจ้างว่าตนเองป่วย หรือป่วยก็จะไม่ยอมไปรักษาหรือกักตัวเป็นพาหนะของการแพร่เชื้อได้
หากไม่มีรักษาฟรีคาดว่า จะมีระบาดมากขึ้นในกลุ่มครอบครัวรายได้น้อยและกลุ่มแรงงาน และในที่สุดจะส่งกระทบเศรษฐกิจรุนแรง
หากรัฐบาลยังเดินหน้ารักษาฟรีโดยยังกำหนดให้ โรคโควิดโอมิครอน (Omicron) เป็นโรคเจ็บป่วยฉุกเฉินจะทำให้การกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจไม่สะดุด รัฐบาลจะมีรายได้จากภาษีมากขึ้นและสามารถนำมาจ่ายให้กับงบประมาณสาธารณสุขได้
สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องงบประมาณด้วยการปรับลดงบซื้ออาวุธนำมาเพิ่มให้กระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้การรักษาโควิดสามารถดำเนินต่อไปได้จนกว่าการระบาดจะยุติ
ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เจ็บป่วยที่จำเป็นต้องพัก Hospitel และ โรงพยาบาลสนาม รัฐบาลยังคงต้องดูแลค่าใช้จ่ายให้ต่อไป
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้น ไม่มีประกันสุขภาพจากภาคเอกชนอยู่แล้ว ส่วนประชาชนที่ซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชน ต่อไปหากมีการประกาศให้ โรคโควิด เป็น โรคประจำถิ่น
สมาคมประกันชีวิตไทยก็อาจออกแนวทางในการไม่จ่ายค่าชดเชยรายวันและค่ารักษาพยาบาลอาจไม่ครอบคลุมผู้ป่วยแบบ Home Isolation หรือรักษาที่บ้าน อันอาจทำให้ประชาชนผู้ถือกรมธรรม์เสียสิทธิได้
การประกาศให้โรคโควิดเป็นโรคประจำถิ่นต้องมีความมั่นใจอย่างชัดเจนว่า โรคโควิด จะไม่กลับมาระบาดและต้องปิดเมืองปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันอีก
อย่างไรก็ดี ในความคิดเห็นส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยกับการนำวัคซีนคุณภาพต่ำฉีดให้นักเรียน ควรใช้วัคซีนคุณภาพสูงฉีดให้นักเรียน เพราะการใช้วัคซีนคุณภาพต่ำจะไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ และเกิดความเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพลูกหลานไทยในระยะยาว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สินค้าและบริการใดที่มีต้นทุนสูงขึ้นโดยเฉพาะจากราคาน้ำมันและพลังงานที่สูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์ควรให้ปรับราคาเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงไม่ใช่ฉวยโอกาสขึ้นราคา หากไม่ให้ปรับขึ้นราคาตามต้นทุนจะทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนสินค้าได้
ส่วนสินค้าและบริการจำเป็นพื้นฐานนั้น รัฐบาลควรเข้ามาอุดหนุนหรือแทรกแซงกลไกราคาไม่ให้ราคาสูงเกินจนประชาชนไม่สามารถซื้อหาได้และเกิดความเดือดร้อนในการดำรงชีวิต
ในเรื่องความเคลื่อนไหวของสมาพันธ์ขนส่งขอเสนอให้ปรับขึ้นราคาขนส่งนั้นเห็นว่า ควรให้ปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรับเพิ่มค่าขนส่งไม่เกิน 5-10% หากปรับสูงถึง 20% จะกระทบอัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าและบริการมากเกินไป
อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีอาจปรับตัวสูงกว่า 3.5%-4% ได้และราคาขนส่งที่ปรับเพิ่มนั้นส่วนหนึ่งควรนำไปเพิ่มสวัสดิการให้กับแรงงานขับรถขนส่งที่มีสวัสดิการไม่ดีนักและมีค่าจ้างค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชั่วโมงการทำงานยาวนาน