น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
มาตรการสำคัญในการรับมือไวรัสโอมิครอน (Omicron) คือ รักษาผู้ติดเชื้อแบบผู้ป่วยนอก ในกลุ่มไม่มีอาการหรืออาการน้อย แต่จำเป็นต้องมีมาตรการประกอบร่วมด้วย
จากสถานการณ์โควิด-19 (Covid-19) ระบาดระลอกใหม่ จากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ที่ทยอยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องกัน 2 เดือน เป็นขาขึ้นโดยตลอด เช่นเดียวกับประเทศต่างๆทั่วโลกในขณะนี้
โดยมีสถิติการเป็นช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง
เปรียบเทียบระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2565 กับ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ดังนี้
ติดเชื้อ แบบตรวจ PCR
ติดเชื้อเข้าข่าย แบบตรวจ ATK
ติดเชื้อรวม แบบตรวจ PCR+ATK
รักษาตัวอยู่ในระบบ
ซึ่งเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็น การเพิ่มขึ้นของสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
สอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการ ที่พบว่าไวรัสโอมิครอนทำให้มีการติดเชื้อมากกว่าไวรัสเดลตา 4-8 เท่า แต่ทำให้มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า 5 เท่า
ในมิติของการแพร่ระบาดหรือจำนวนผู้ติดเชื้อในขณะนี้ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างโอมิครอน มีผู้ติดเชื้อมากกว่าเดลตาอยู่ 1.87 เท่า คือจากเดลตาสูงสุด 23,418 ราย โอมิครอนขณะนี่ 43,802 ราย
ในมิติความรุนแรงของโรค เมื่อเปรียบเทียบระหว่างโอมิครอนกับเดลตา พบว่ารุนแรงน้อยกว่า 5 เท่าโดยพบผู้ป่วยอาการหนักของเดลตาประมาณ 5000 ราย ในขณะที่โอมิครอน 980 ราย น้อยกว่าประมาณ 5 เท่า
ผู้ใช้เครื่องช่วยหายใจ เดลตาประมาณ 1000 ราย โอมิครอน 280 ราย น้อยกว่า 3.6 เท่า
และผู้เสียชีวิตจากเดลตา 312 ราย โอมิครอน 42 ราย น้อยกว่า 7.4 เท่า
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พอจะเห็นทิศทางสถานการณ์โควิดระบาดระลอกใหม่ด้วยสายพันธุ์โอมิครอนที่สอดคล้องไปกับข้อมูลทางวิชาการและสถิติของประเทศต่างๆทั่วโลก
จึงต้องมาดูระบบสาธารณสุขของเมืองไทย ที่จะรองรับผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้ออาการน้อย ผู้ติดเชื้ออาการปานกลางขึ้นไป และการดูแลไม่ให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
1.จำนวนเตียง ที่จะรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย มีประมาณ 350,000 เตียง
ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 มีผู้ครองเตียงดังกล่าวทั้งสิ้น 60% คือ 210,000 เตียง เหลือเตียงว่างที่จะรับได้ 40% หรือ 140,000 เตียง
ถ้ามีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ มากกว่าผู้หายป่วยวันละ 5000 ราย ก็จะรองรับไปได้อีก 28 วัน
แต่ถ้ามีผู้ติดเชื้อใหม่มากกว่าจำนวนผู้หายป่วยถึงวันละ 10,000 ราย ก็จะสามารถรองรับได้อีกเพียง 14 วัน ซึ่งจะมีความจำกัดมากกว่าเตียงที่จะดูแลผู้ป่วยหนักและผู้ใช้เครื่องช่วยหายใจ
ซึ่งขณะนี้ ผู้ป่วยหนักครองเตียงอยู่ 16.3% คือ 980 เตียงจาก 6000 เตียง
และผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจ มีอัตราครองเตียงอยู่ 12.7% หรือ 280 เตียงจาก 2200 เตียง
และนอกจากนั้นข้อมูลการเสียชีวิตรายวันของประเทศไทยพบว่ามากกว่า 90% จะเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 คือผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค บวกกับหญิงตั้งครรภ์ และส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
พบว่าวัคซีน 3 เข็ม สามารถลดการเสียชีวิตได้มากถึง 97%
จึงทำให้แนวทางสำคัญที่จะต้องดำเนินการในสถานการณ์โควิดด้วยข้อมูลดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดคือ
ดังนั้นมาตรการการดูแลแบบผู้ป่วยนอก (OPD : Out Patient Department) ให้กับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง 608
จึงเป็นมาตรการสำคัญที่มีความเหมาะสม เพื่อทำให้เกิดเตียงเหลือสำรองไว้รับผู้ติดเชื้อที่มีอาการปานกลางหรืออาการหนัก ตลอดจนสำรองเตียงไว้ดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มเสี่ยง 608
แต่ทั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการสำคัญอีก 2 มาตรการ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญประกอบด้วย