สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก วันนี้"ฐานเศรษฐกิจ"จึงรวบรวมบทความรู้จาก พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ งานโรคติดเชื้อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ที่ได้รวบรวมคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลลูกน้อยเมื่อป่วยด้วยโควิด -19
โดยเนื้อหาคำแนะนำระบุว่า ส่วนใหญ่โรคนี้ในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเด็กอายุเกิน 5 ปี ขึ้นไปอาการมักไม่รุนแรงสามารถรักษาประคับประคองได้ ส่วนใหญ่ดีขึ้นเอง ส่วนน้อยจำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสน้อยมากที่จะต้องมานอนโรงพยาบาล จึงสามารถรักษาและสังเกตอาการที่บ้านได้
การรักษาหลัก คือ ประคับประคองตามอาการ เช่น ทานยาลดไข้ เฉพาะเวลาที่ไข้สูงเกิน 38 - 38.5 หรือ เริ่มมีภาวะพิษจากไข้ เช่นปวดศีรษะ งอแงผิดสังเกต ถ้าไข้สูง แต่ไม่กระสับกระส่าย ปวดศีรษะมาก หรืองอแงผิดสังเกต หลับพักได้ดี ไม่จำเป็นต้องปลุกเด็กมาทานยาหรือเช็ดตัวบ่อยๆเพื่อให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่จะเป็นไข้อยู่ประมาณ ไม่เกิน 2-3 วันแล้วก็จะค่อยๆดีขึ้น
ความเสี่ยงต่อการชักจากไข้มีไม่มาก และอาการชักจากพิษไข้ ถ้าจะเป็นจริงๆจะเจอในเด็กเล็ก ช่วงอายุที่เจอบ่อยคือ 1 ถึง 3 ปี ถ้าเกินอายุช่วงนี้ไปโอกาสจะลดลงเรื่อยๆ ถ้าอายุเกิน 6 ขวบ แทบจะไม่มีโอกาสจะชักจากพิษไข้เป็นไข้ยกเว้นเป็นโรคลมชักอยู่เดิม ส่วนใหญ่ถ้าชัก มักจะชักในวันแรกของไข้ เพราะสมองปรับตัวกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทัน ถ้าเป็นไข้มาแล้ว 1 ถึง 2 วันแล้วไม่ชัก โอกาสจะมาชักวันหลังจะน้อยมาก
การรักษาตามอาการอื่นๆขึ้นอยู่กับความรุนแรงเช่น ถ้ามีน้ำมูก แต่น้ำมูกนั้นไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติสุข ไม่จำเป็นต้องทานยาลดน้ำมูกทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเด็กเล็กต่ำกว่า 6 เดือน ถ้าไม่จําเป็นจริงๆไม่ควรทานยาลดน้ำมูก เพราะอาจทำให้เสมหะแห้งเหนียว ทำให้ไอหนักตามมาได้แต่ถ้าน้ำมูกไหลมาก จนรบกวนชีวิตประจำวัน ให้ทานยาลดน้ำมูกเท่าที่จำเป็นจริงๆแต่ถ้าทานแล้วอาการไอมาก ให้หลีกเลี่ยงไปก่อน ให้จิบน้ำอุ่นบ่อยๆ
อาการที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ถ้าซึมเพลีย ไม่รับประทานน้ำหรืออาหาร ปัสสาวะออกน้อยลง เหนื่อยหอบ หายใจเร็วกว่าเกณฑ์อายุ คือ แนวทางการประเมินอัตราการหายใจของผู้ป่วยตามอายุ
ทั้งนี้หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือมีข้อสงสัย สามารถโทรสายตรงสุขภาพเด็ก โรงพยาบาลเด็ก โทร. 1415