โอมิครอนกลายพันธุ์อีกแล้ว เชื้อกระจายเร็วไหม น่ากลัวแค่ไหน เช็กเลย

13 มี.ค. 2565 | 01:06 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2565 | 08:07 น.

โอมิครอนกลายพันธุ์อีกแล้ว เชื้อกระจายเร็วไหม น่ากลัวแค่ไหน เช็กเลย หมอเฉลิมชัยเตือนระวังผู้เดินทางเข้าไทยจากฮ่องกง-อังกฤษ เผยก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากที่ฮ่องกงในขณะนี้

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ไวรัสโอมิครอน (Omicron) กลายพันธุ์อีกครั้งแล้ว  เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.2.2 ทำให้เกิดปัญหาอย่างมากที่ฮ่องกงในขณะนี้

 

นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิดซึ่งพบเคสแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ด้วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อู่ฮั่น (Clade S) ส่งผลทำให้เกิดการระบาดระลอกที่ 1 ของไทย ช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2563 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 4000 ราย เสียชีวิต 60 ราย

 

ต่อมาไทยก็เกิดการระบาดระลอกที่ 2 ในช่วงธันวาคม 2563 ถึงมีนาคม 2564 โดยยังคงเป็นไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่น (Clade GH : B.1.36.16) ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 24,863 ราย เสียชีวิต 34 ราย

ด้วยเหตุที่ไวรัสตระกูลโคโรนา เป็นไวรัสสารพันธุกรรมเดี่ยว(RNA) มีการกลายพันธุ์ได้ง่ายโดยธรรมชาติ

 

จึงเกิดการกลายพันธุ์เป็นไวรัสสายพันธุ์อัลฟ่า (Clade GRV : B.1.1.7) และต่อมาเป็นไวรัสสายพันธุ์เดลตา(Clade GK : B.1.617.2) จนเกิดการระบาดใหญ่ระลอกที่ 3 ของประเทศไทย ตั้งแต่เมษายนถึงธันวาคม 2564 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 2,194,572 ราย เสียชีวิต 21,604 ราย

 

และในลำดับสุดท้ายล่าสุด ก็มีการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7 ที่ก่อโรคโควิด-19 (Covid-19) เป็นสายพันธุ์โอมิครอน(Clade GRA : B.1.1.529) ส่งผลให้เกิดการระบาดระลอกใหญ่อีกครั้ง นับเป็นระลอกที่ 4 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นมา

 

โอมิครอนกลายพันธุ์อีกแล้ว

 

จนถึงขณะนี้ (11 มีนาคม 2565) มีผู้ติดเชื้อรวม 1,595,460 ราย เป็นผู้ติดเชื้อแบบ PCR 913,214 ราย และผู้ติดเชื้อเข้าข่ายแบบ ATK 682,246 ราย มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 1880 ราย

 

ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งกำลังเป็นสายพันธุ์หลักของการระบาดระลอกที่ 4 ในประเทศไทย มีความสามารถในการแพร่ระบาดที่เร็วกว่าเดลตาถึง 4 เท่า
 

อย่างไรก็ตาม มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยไปอีก 3 ชนิดด้วยกัน คือ BA.1 BA.2 BA.3 โดยสายพันธุ์ย่อยที่ 1 เป็นสายพันธุ์หลัก 

 

และต่อมามีสายพันธุ์ย่อยที่ 2 ซึ่งแพร่ได้เร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่ 1 อีก 30-40% และขณะนี้ประเทศไทยพบแล้วทั้งสองสายพันธุ์ย่อย และกำลังพบสายพันธุ์ย่อยที่ 2 มากขึ้นเป็นลำดับ

 

โดยหลักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องไวรัส ทราบกันดีว่า ที่ใดมีการติดเชื้อมากหรือไวรัสมีการแบ่งตัวมาก ก็จะมีการกลายพันธุ์มาก จนสามารถเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์หลัก หรือสายพันธุ์ย่อยก็ตาม

 

ในขณะนี้ที่ฮ่องกง กำลังมีการระบาดของโควิดอย่างมาก พบตัวเลขสถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีการตรวจพบสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแยกออกมาจากสายพันธุ์ย่อยที่ 2 จึงเรียกชื่อว่า BA.2.2

 

โดยจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 7 วันของฮ่องกงสูงเป็น 17.2 เท่าของประเทศไทยคือ 5425 ต่อล้านประชากร เทียบกับ 315 ต่อล้านประชากร

 

และผู้เสียชีวิตที่มากกว่าประเทศไทยถึง 35.3 เท่าคือ เสียชีวิต 30 รายต่อล้านประชากร ของไทยพบ 0.85 รายต่อล้านประชากร

 

จึงมีการสันนิษฐานว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2.2 อาจเป็นเหตุทำให้เกิดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่ฮ่องกง

 

เพราะที่ฮ่องกงและประเทศไทยต่างก็เป็นไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนด้วยกัน  แต่ของฮ่องกงขณะนี้เป็นสายพันธุ์ BA.2.2 ในขณะที่ไทยยังไม่พบ

 

ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ในฮ่องกง ก็คงเป็นเรื่องที่กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนค่อนข้างน้อยร่วมด้วย

 

ไวรัสสายพันธุ์ย่อย BA.2.2 มีการกลายพันธุ์ตรงตำแหน่งหนามแหลมที่กรดอะมิโนตำแหน่งที่ 1221 โดยเปลี่ยนจาก Isoleucine เป็น Threonine

 

กรณีดังกล่าวที่ฮ่องกง จึงทำให้โลกของเรายังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโควิดต่อเนื่องกันไป ด้วยไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นสายพันธุ์หลัก หรืออาจจะเป็นสายพันธุ์ย่อยจากธรรมชาติ

 

ประเทศไทยเรา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

ส่วนการคาดการณ์ที่จะมีสถานการณ์เบาบางลงหรือเป็นโรคประจำถิ่น ก็ดูเหมือนจะยังหาความชัดเจนในขณะนี้ได้ลำบาก

 

คงจะต้องระมัดระวัง ช่วยกันดูแลป้องกันการเข้ามาของไวรัสสายพันธุ์ BA.2.2 โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากฮ่องกงและอังกฤษกันต่อไป