ยอดโควิดวันนี้ไทยล่าสุดรวมatk ยังคงมีตัวเลขผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron)
ร.ศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความว่า
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ปอดอักเสบเพิ่มขึ้นจาก 1464 คน เป็น 1,718 คน เพิ่มขึ้น 17.34%
ใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มจาก 514 คน เป็น 675 คน เพิ่มขึ้น 31.32%
จำนวนติดเชื้อรวม ATK ของวันนี้ สูงกว่าสัปดาห์ก่อน 0.56% และมากกว่าสองสัปดาห์ก่อน 2.79%
ถือเป็นแนวโน้มของการติดเชื้อรายวันที่สูงกว่า 2 สัปดาห์ก่อน ติดต่อกันเป็นวันที่ 4
"ฐานประชากรของไทยที่ยังไม่ได้วัคซีนมีจำนวนไม่น้อย นอกจากนี้คนที่ได้เข็มกระตุ้นมีเพียง 33.3% ดังนั้นจึงเสี่ยงต่อเรื่องติดเชื้อ ป่วย และเสียชีวิต มากกว่าต่างประเทศ การจ้ำตามย่างก้าวนโยบายเสรีการใช้ชีวิต ค้าขายท่องเที่ยวเดินทาง โดยเกราะป้องกันไม่เข้มแข็งพอ ทั้งด้านชนิดและความครอบคลุมของการฉีดวัคซีน และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ก็จะมีโอกาสนำไปสู่ความยากลำบากในอนาคต รวมถึงภาระเรื่อง Long COVID"
หมอธีระ ยังโพสต์ด้วยว่า
อัพเดตงานวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์ BA.2
Lentini A และคณะ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาในประเทศสวีเดน ใน medRxiv เมื่อวานนี้ 27 มีนาคม 2565
พบว่า คนที่ติดเชื้อ Omicron สายพันธุ์ BA.2 นั้นจะมีปริมาณไวรัสในช่องคอ มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่าง BA.1 ถึง 2 เท่า
นั่นจึงเป็นหลักฐานอธิบายปรากฏการณ์ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญการกลับมาระบาดซ้ำมากขึ้นของ Omicron BA.2 ซึ่งตอนนี้เป็นสายพันธุ์หลักไปแล้ว
ยิ่งปริมาณไวรัสเยอะ ยิ่งมีโอกาสแพร่ได้มาก
ทั้งนี้ผลการศึกษาของสวีเดนนี้ชี้ให้เห็นปริมาณไวรัสในช่องคอ ซึ่งเป็นทางเดินหายใจส่วนบน จึงทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย ไม่ว่าจะจากการพบปะพูดคุยคลุกคลีใกล้ชิด หรือแชร์ของกินและอุปกรณ์ภาชนะที่ใช้กินดื่ม รวมถึงบุหรี่และอื่นๆ
ในขณะเดียวกัน ทาง UK HSA ก็ได้ออกตารางสรุปเกี่ยวกับความรู้ที่มีขณะนี้เรื่องสายพันธุ์ BA.2 ดังนี้
หนึ่ง สามารถจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ได้ดีกว่า BA.1 ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายสมรรถนะการติดเชื้อแพร่เชื้อที่มากกว่าเดิม
สอง อัตราการติดเชื้อไปยังผู้อื่น (secondary attack rate) สูงกว่า BA.1
สาม ระยะเวลานับจากวันแรกที่คนที่ติดเชื้อคนแรกมีอาการ ไปยังคนที่รับเชื้อมีอาการ (serial interval) สั้นกว่า BA.1
แม้ขณะนี้ข้อมูลเท่าที่มี จะมีแนวโน้มว่า BA.2 มีความรุนแรงไม่ต่างจาก BA.1 แต่ด้วยสมรรถนะการแพร่เชื้อติดเชื้อที่มากขึ้นกว่าเดิม จำนวนเคสที่มากขึ้นก็จะส่งผลต่อจำนวนการป่วยหรือเสียชีวิตที่อาจมากขึ้นได้