ข่าวโควิดวันนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากประชาชน ทั้งจำนวนของผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน และผู้เสียชีวิต
น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ยกเลิกการตรวจ PCR นักท่องเที่ยว จะมีผลกระทบต่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มราว 0.4%-4%
หลังจากที่โลกเราได้เผชิญกับวิกฤตการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี จาก โควิด-19
ขณะนี้เมื่อผ่านไปสองปีเศษ นับจาก 31 ธันวาคม 2562 ถึง 8 พฤษภาคม 2565
ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อรวม 517 ล้านคน เสียชีวิต 6 ล้านคน ใน 228 ประเทศและเขตปกครองพิเศษ
ผลกระทบจากโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับไข้หวัดสเปน ซึ่งถือเป็นโรคระบาดครั้งร้ายแรงล่าสุดเมื่อ 100 ปีก่อน (พ.ศ. 2461-2463)
ในครั้งนั้น มีผู้ติดเชื้อประมาณการว่า 500 ล้านคน และเสียชีวิตราว 20-80 ล้านคน
แต่เมื่อ 100 ปีก่อน ประชากรของโลกมีน้อยกว่าขณะนี้หลายเท่าตัว จึงพอจะสรุปได้ว่า ไข้หวัดสเปนมีผลกระทบในมิติสาธารณสุขมากกว่าผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19 ชัดเจน
แต่ถ้าพิจารณาในมิติด้านเศรษฐกิจและมิติทางด้านสังคม จะพบว่าโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของโลกที่กว้างขวางและรุนแรงมากกว่าไข้หวัดสเปนมาก
สาเหตุก็มาจากปัจจัยหลายประการได้แก่
จึงทำให้เมื่อเกิดโรคระบาดในยุคปัจจุบัน ผลกระทบที่มีต่อมิติด้านเศรษฐกิจจึงรุนแรงมากกว่าในสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศซึ่งมีรายได้จากภาคบริการเป็นหลัก
นอกจากนั้นยังมีผลกระทบมิติทางด้านสังคมของมนุษย์อย่างมากด้วย
ทำให้ผู้คนเกิดความเครียด มีความทุกข์ จากการที่ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ อันหมายรวมถึงการเดินทางท่องเที่ยว การพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย การทานอาหารนอกบ้าน การหาความบันเทิงจากการชมภาพยนตร์ การแสดงคอนเสิร์ต กีฬาต่างๆ รวมไปถึงการไปเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหาย ที่ถูกจำกัดลงอย่างมาก
ทุกประเทศได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงโดยตรงว่า การบริหารจัดการให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตไปได้ ในสภาวะที่มีโควิด-19 ระบาด อย่างพอเหมาะพอดีนั้น คือมีสมดุลระหว่างมิติทางด้านสาธารณสุข มิติทางด้านเศรษฐกิจ และมิติทางด้านสังคม เป็นไปได้อย่างยากลำบาก
และยากยิ่งขึ้นไปอีก ในการที่จะทำให้ผู้คนจำนวนมากในประเทศนั้นเห็นพ้องต้องกันกับนโยบายหรือมาตรการต่างๆ
จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ความรู้ ทั้งทางด้านการแพทย์/สาธารณสุข ทางด้านเศรษฐกิจ และทางด้านสังคม มาประกอบกัน
แล้วกำหนดนโยบายหรือออกมาตรการ โดยที่เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย พอยอมรับได้ และเข้าใจในเสียงส่วนน้อยที่เห็นต่างและไม่ยอมรับ
แล้วทั้งสังคมก็เดินหน้าไปด้วยกัน โดยใช้ความรู้ ใช้สถิติข้อมูลต่างๆ อย่างพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายและมาตรการต่างๆให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของโควิดที่เปลี่ยนแปลงไป
ในโลกเราจึงพบกลุ่มประเทศที่ออกนโยบายและมาตรการต่างๆที่แตกต่างกันไป ได้แก่
จนในสถานการณ์ล่าสุด นับจากเริ่มต้นด้วยไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นหรือสายพันธุ์เดิม มาเป็นสายพันธุ์อัลฟ่า เดลตา
และปัจจุบันเป็นโอมิครอน ซึ่งมีการติดเชื้อได้รวดเร็วกว้างขวาง แต่ความรุนแรงน้อยลงกว่าเดิม
หลากหลายประเทศทางซีกโลกตะวันตกจึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการทางด้านสาธารณสุขลง เพื่อขยับมิติทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เดินหน้าไปได้ พร้อมยอมรับผลกระทบจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง
โดยที่ยังเหลือประเทศจีนเพียงประเทศเดียว ที่ยังเน้นนโยบายสาธารณสุขเป็นหลัก หรือ Zero Covid-19
สำหรับประเทศไทยเรา ได้มีพัฒนาการของนโยบายต่างๆ มาเป็นลำดับ และมาตรการต่างๆก็จะสอดคล้องกับนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของโควิดได้แก่
1.ระลอกที่หนึ่ง ช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2563 เน้นมิติทางด้านสาธารณสุขเข้มข้น มีการล็อกดาวน์ เพราะทั่วโลกในขณะนั้น ยังมีความรู้เกี่ยวกับโควิดค่อนข้างน้อย รวมทั้งยังไม่มีวัคซีนและยารักษาโรคที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิผล
ทำให้เราสามารถคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ที่ 4000 ราย เสียชีวิต 60 ราย คิดเป็น 1.5% โดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างมาก
2.ระลอกที่สอง ช่วงเดือนธันวาคม 2563 ถึงมีนาคม 2564 ยังคงเน้นมิติทางด้านสาธารณสุขเป็นหลัก แต่มีความเข้มข้นน้อยลง ไม่มีการล็อกดาวน์แบบเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้เพื่อประคองไม่ให้กระทบมิติทางด้านเศรษฐกิจและสังคมมากเกินไป
จึงทำให้พบผู้ติดเชื้อในระลอกนี้เพิ่มขึ้น 6 เท่า คือ 24,863 ราย เสียชีวิต 34 ราย คิดเป็น 0.14%
3.ระลอกที่สาม ช่วงเดือนเมษายนถึงธันวาคม 2564 เป็นไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อัลฟ่าและตามด้วยสายพันธ์ุเดลตา
ซึ่งมีความสามารถในการแพร่ระบาดกว้างขวางมากขึ้น และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วย
ประเทศไทยใช้รูปแบบเน้นมิติสาธารณสุขเป็นหลัก แต่ไม่เข้มข้นเท่าเดิม ทั้งนี้เพื่อประคองมิติทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้รับผลกระทบมากและต่อเนื่องมาจาก 2 ระลอกแรก
ผลคือมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าตัว จำนวน 2,194,572 ราย เสียชีวิต 21,604 ราย คิดเป็น 0.9%
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนจำนวนมาก ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและสังคม พอจะอยู่ได้ เนื่องจากความสามารถของประชาชน ในการรับมือกับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมลดลงตามลำดับ
ซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วโลก เนื่องจากความเรื้อรังของโควิด-19 ที่ยาวนานมากราว 2 ปีแล้ว
4.ระลอกที่สี่ ช่วงเดือนมกราคม 2565 ถึงปัจจุบัน เป็นไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ที่แพร่เร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา 4-8 เท่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า 5-10 เท่า
ทำให้หลายประเทศเลือกที่จะผ่อนคลายมิติทางสาธารณสุขเพิ่มเติม โดยยอมรับผลกระทบของจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตที่อาจเพิ่มขึ้น เพื่อเยียวยามิติทางด้านเศรษฐกิจและสังคมซึ่งอ่อนล้าลงเป็นลำดับ
ท่ามกลางช่วงเวลาที่เริ่มมีวัคซีนปริมาณมากพอ มีผลข้างเคียงในระดับที่ยอมรับได้ ตลอดจนมียารักษาโรคที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น
รวมทั้งประชาชนมีองค์ความรู้ มีความเข้าใจเรื่องลองโควิด และการลดลงของภูมิคุ้มกันทั้งจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีน
ในแต่ละประเทศ ซึ่งมีค่านิยม ความเชื่อ วินัยของประชาชนที่แตกต่างกัน มีสัดส่วนของรายได้จากภาคบริการต่อภาคสินค้าที่แตกต่างกัน
รวมทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องจีดีพี เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หนี้สาธารณะ เงินออมของประชาชน และหนี้สินครัวเรือน
จึงทำให้ประเทศต่างๆมีมาตรการที่ออกมาในการรับมือโควิด-19 ที่แตกต่างกันออกไป
กล่าวสำหรับประเทศไทยเรา มีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจดังนี้
โดยเฉพาะการท่องเที่ยวได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดโควิด ไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคน คิดเป็นเงินจำนวนนับล้านล้านบาท
จึงทำให้ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย และออกมาตรการภายใต้นโยบายที่ปรับเปลี่ยนนั้น เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ โควิด-19 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างเหมาะสม
จึงมีหลากหลายมาตรการที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ในที่นี้ขอยกมาตรการที่น่าสนใจต่อสาธารณะมาพิจารณา ได้แก่
มาตรการยกเลิกการตรวจ PCR สำหรับนักท่องเที่ยวและคนต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย โดยมาตรการการดังกล่าว ยกเว้นการตรวจเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีการฉีดวัคซีนครบถ้วนเท่านั้น
มาตรการดังกล่าวจะมีผลกระทบดังนี้
1.มิติทางด้านเศรษฐกิจ คาดว่าจะมีผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทย มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น ทำให้เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
อันจะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจไปสู่ส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเช่น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ มัคคุเทศก์ คนขับรถทัวร์ รถตู้ แท็กซี่ ร้านอาหาร สถานบันเทิง ร้านขายของที่ระลึก
โดยเงินต่างๆที่เข้าสู่คนกลุ่มนี้ ก็จะหมุนเวียนออกจากคนกลุ่มดังกล่าวผ่านการใช้จ่ายประจำวัน ไปสู่คนไทยกลุ่มอื่นในวงกว้างต่อไป
2.มิติทางด้านสาธารณสุข ย่อมจะเกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากนักท่องเที่ยวที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ แม้ฉีดวัคซีนครบก็จะสามารถผ่านเข้าสู่ประเทศไทยและใช้ชีวิตเดินทางท่องเที่ยวต่อไปได้ อันอาจส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
เพื่อประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงของมิติสาธารณสุขดังกล่าว ผู้เขียนจึงลองวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลสาธารณะอย่างง่าย ซึ่งมีการรายงานอยู่แล้วทุกวันดังนี้
โควิดระลอกที่ 4 ในช่วง 1 มกราคมถึง 8 พฤษภาคม 2565 รวม 128 วัน
พบผู้ติดเชื้อโดยวิธีตรวจ PCR 2,101,415 ราย คิดเป็นค่าเฉลี่ย 16,417 รายต่อวัน
โดยมีผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบในนักท่องเที่ยวหรือคนเดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน 16,815 ราย เฉลี่ยวันละ 131 ราย คิดเป็น 0.80%
แต่ถ้าคิดเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน 2565 ผู้ติดเชื้อ PCR รวม 622,602 ราย เฉลี่ยวันละ 20,753 ราย
ในขณะที่ตรวจ PCR พบในผู้เดินทางจากต่างประเทศรวม 2214 ราย เฉลี่ยวันละ 76 ราย คิดเป็น 0.4% ของผู้ติดเชื้อ PCR ทั้งหมด
ดังนั้นถ้าเราไม่ได้ตรวจ PCR นักท่องเที่ยว ก็จะมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย 76 รายต่อวัน หรือเพียง 0.4%
ในขณะที่ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยแต่ละวันอีกจำนวน 99.6% จะเป็นกรณีที่คนไทยติดเชื้อกันเอง
และคาดได้ว่า ถ้ามาตรการดังกล่าวเป็นผลดี จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัวจากปัจจุบัน
อัตราของนักท่องเที่ยวที่จะนำเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย ก็จะเพิ่มจาก 0.4% เป็น 4% ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่หลายฝ่ายคิดว่าพอยอมรับได้
และเนื่องจากไวรัสในต่างประเทศและในประเทศไทยขณะนี้ เป็นสายพันธุ์เดียวกันคือ โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่ 2 จึงจะไม่เกิดเหตุการณ์มีการนำไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาสู่ประเทศไทย
ยิ่งถ้าได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิดว่า มีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นในประเทศใด แล้วก็รีบสั่งห้ามคนจากประเทศนั้นเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยด้วย ก็จะสามารถลดความเสี่ยงสำหรับการเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทยได้
ส่วนความคุ้มค่า หรือความเหมาะสมของมาตรการดังกล่าว ก็แล้วแต่มุมมองและความเกี่ยวข้องของประชาชนแต่ละคนว่า ได้รับผลกระทบจากมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสสาธารณสุขมากน้อยอย่างไร