ปลูกฝีป้องกันฝีดาษลิง เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากการปลูกฝีนั้น ไม่ได้มีเฉพาะเพียงแค่ป้องกันฝีดาษลิงเท่านั้น แต่ยังมีที่ใช้สำหรับป้องกันโรคอื่นด้วย
น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ทำอย่างไรจึงจะทราบว่า ตนเองเคยปลูกฝีป้องกันฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษแล้ว
จากที่ขณะนี้ ทั่วโลกพบผู้ป่วยฝีดาษลิง(Monkeypox) แล้วมากกว่า 20 ประเทศ มีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันมากกว่า 300 คน
ทำให้เกิดความตระหนัก และบางคนไปถึงขั้นวิตกกังวล เพราะการติดเชื้อครั้งนี้เป็นการติดกันเองภายในประเทศแล้วนั้น
จากการที่ผู้ติดเชื้อ ไม่มีประวัติเดินทางไปแอฟริกา ไม่มีประวัติสัมผัสเสี่ยงกับสัตว์ที่เป็นแหล่งของเชื้อ เช่น ลิง กระรอก กระต่าย หนู เป็นต้น
ทำให้องค์การอนามัยโลกได้มีการประชุมด่วน และกระทรวงสาธารณสุขหลายประเทศได้ตั้งคณะกรรมการฉุกเฉินเพื่อเข้ามาดูแลเกี่ยวกับเรื่องฝีดาษลิงแล้วในขณะนี้
แต่ที่พอจะเบาใจได้บ้างในเบื้องต้นก็คือ วัคซีนป้องกันฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษ (Smallpox) ที่เราเรียกว่าการปลูกฝีนั้น สามารถข้ามมาป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ด้วย
ประกอบกับมีงานวิจัยยืนยันว่า ผู้ที่เคยฉีดหรือปลูกฝีป้องกันฝีดาษคน จะมีระดับภูมิคุ้มกันที่สูงพอป้องกันโรคได้จนถึงปัจจุบัน (มีครึ่งชีวิตของวัคซีนยาวนานถึง 92 ปี)
ฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษ ได้หมดไปจากโลกเรา โดยการประกาศขององค์การอนามัยโลกในปี 2523 ส่วนประเทศไทยเราไม่มีไข้ทรพิษมาตั้งแต่ปี 2517
นั่นคือประเทศไทยเริ่มทยอยเลิกปลูกฝีตั้งแต่ปี 2517 และทั่วโลกเลิกปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษตั้งแต่ปี 2523
หลักสังเกตว่าตนเองเคยปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษแล้วหรือไม่ อย่างไร ได้แก่
ในกรณีที่เป็นการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ แผลเป็นจะเป็นลักษณะแผลแบนเรียบหรือเป็นหลุมลงไปเล็กน้อย
แต่ถ้าเป็นการปลูกฝีป้องกันวัณโรคที่เรียกว่า BCG แผลเป็นนั้นจะนูนขึ้นมา
ดังนั้นการตรวจสอบว่าตนเองเคยปลูกฝีป้องกันฝีดาษคน/ไข้ทรพิษหรือยัง ก็ใช้หลักสองประการดังกล่าวคือ
ดูว่าเกิดก่อนปี 2517 และตรวจสอบว่าแผลเป็นที่เกิดขึ้น เป็นแผลที่เรียบหรือเป็นหลุมลงไปเล็กน้อย ก็ถือว่าเคยปลูกฝีป้องกันฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษแล้ว