ผงะ! ผู้ป่วยโควิดกว่า 500 ล้านรายเสี่ยงมีเชื้อไวรัสหลงเหลือในร่างกาย

11 มิ.ย. 2565 | 21:11 น.
อัปเดตล่าสุด :11 มิ.ย. 2565 | 23:29 น.

ผงะ ผู้ป่วยโควิดกว่า 500 ล้านรายเสี่ยงมีเชื้อไวรัสหลงเหลือในร่างกาย หลังพบไวรัสก่อโรคโควิด-19ในไส้ติ่งและเต้านมของผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าติดโควิดมานานกว่าหนึ่งปี

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ไม่น่าเชื่อ !! พบไวรัสก่อโรคโควิด-19ในไส้ติ่งและเต้านมของผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าติดโควิดมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว

 

ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า เมื่อมนุษย์สัมผัสกับไวรัสโคโรนา (Corona virus) ที่ก่อโรคโควิด จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

 

  • ติดเชื้อและไม่แสดงอาการ
  • ติดเชื้อและแสดงอาการ

 

ต่อมาก็พบว่า ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อแสดงอาการนั้น เมื่อหายดีแล้ว ในระยะพักฟื้น (Convalescence) มีการตรวจพบซากของไวรัส (Viral Antigen) รวมทั้งสารพันธุกรรมของไวรัส (Viral RNA) ในทางเดินอาหารและในอุจจาระ

 

และเมื่อมีเรามีความรู้เพิ่มมากขึ้นอีก ก็พบกลุ่มอาการที่เรียกว่าลองโควิด (Long Covid) ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้คำนิยามไว้ว่า

เป็นภาวะที่ผู้ป่วยโควิด ยังคงมีอาการต่อเนื่องไม่หายขาด หลังจากที่พ้นระยะเฉียบพลัน (Acute phase) และอาการเหล่านั้นไม่สามารถจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่นได้ ประกอบด้วย

 

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue)
  • สมองไม่สดชื่นแจ่มใส (Brain fog)
  • หายใจไม่เต็มปอด (Shortness of breath)

 

มีการศึกษาล่าสุดพบผู้ป่วยลองโควิด 2 ราย ซึ่งรายหนึ่งวินิจฉัยโรคได้เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ส่วนอีกรายหนึ่งเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว

 

เมื่อตรวจในชิ้นเนื้อพบว่า มีทั้งซากเชื้อไวรัส (Viral Antigen) และสารพันธุกรรม (RNA) ที่แสดงว่าไวรัสยังแบ่งตัวมีชีวิตได้ ในไส้ติ่ง และในเนื้อเยื่อเต้านม

 

แต่ไม่พบในเนื้อเยื่อของผิวหนัง คาดว่าเหตุที่ไม่พบไวรัสหรือซากเชื้อในผิวหนัง เนื่องจากเซลล์มีการหลุดลอกออกไปค่อนข้างบ่อย

 

ผงะ ผู้ป่วยโควิดกว่า 500 ล้านรายเสี่ยงมีเชื้อไวรัสหลงเหลือในร่างกาย

 

ส่วนในไส้ติ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินอาหาร คาดว่าเกิดจากมีตัวรับไวรัสที่ค่อนข้างมาก (ACE-2 receptor)

 

ส่วนที่เนื้อเยื่อเต้านม (Breast) มีความน่าสนใจตรงที่ พบไวรัสเฉพาะในเนื้อเยื่อปกติ แต่ไม่พบไวรัสในส่วนที่เป็นเนื้องอก

โดยที่ไวรัสโคโรนาก่อโรคโควิดมีโครงสร้างสำคัญในส่วนที่เป็นโปรตีน 4 ส่วนด้วยกันได้แก่

 

  • NP: Nucleocapsid Protein 
  • M : Membrane 
  • S : Spike 
  • E : Envelope

 

โดย NP จะเป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรค
และ S-protein หรือส่วนหนาม เป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการผลิตวัคซีน
ในการตรวจสารพันธุกรรม (RNA) สามารถบ่งบอกว่าไวรัสยังมีความสามารถในการแบ่งตัวหรือมีชีวิตอยู่หรือไม่

 

นับเป็นข้อมูลใหม่ล่าสุด ที่มนุษย์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7 ที่ก่อโรคโควิด และมีความรู้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา

 

โดยสรุปได้ว่า พบผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโควิดมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ก็ยังอาจตรวจพบทั้งซากไวรัสและสารพันธุกรรมส่วนที่แสดงว่าไวรัสแบ่งตัวได้ ทั้งในไส้ติ่งและในเนื้อเยื่อของเต้านม

 

จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับไวรัสโคโรนากันต่อไปอีก เนื่องจากเรามีผู้ติดเชื้อที่หายดีแล้วกว่า 500 ล้านคน

 

ในกลุ่มดังกล่าวนี้ แม้หายดีแล้ว ก็อาจจะมีไวรัสหลงเหลืออยู่บางส่วน ที่อาจส่งผลต่อร่างกายได้ ทำให้อวัยวะต่างๆมีความผิดปกติ ตราบเท่าที่เรายังเรียนรู้เรื่องของไวรัสไม่ครบถ้วนสมบูรณ์