กรุงเทพมหานคร มี 5 ภารกิจที่ต้องรับผิดชอบคือ
- รับผิดชอบเรื่องการระบายน้ำ การกําจัดขยะ การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- เฝ้าระวังและเตรียมการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เสี่ยงเดิม 22จุด และ สําหรับพื้นที่เสี่ยงใหม่ 5 จุด เพิ่มเติม ได้แก่ อโศกมนตรี ถนนสุขุมวิท บริเวณซอยแบริ่ง ถนนรามคําแหง ซอย 1-3 และถนนพหลโยธิน ช่วงทางไปลําลูกกา ได้เตรียมการแก้ไขปัญหาและประสานการปฏิบัติกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
- ดําเนินการแก้ไขปัญหาโดยการเพิ่มการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เพิ่มกําลัง เจ้าหน้าที่จัดการขยะ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ รวมถึงการประสานหน่วยที่เกี่ยวข้องร่วมแก้ไข ปัญหาด้วยแล้ว
- ตั้งกลุ่ม LINE ร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นช่องทางแจ้งเตือนก่อนเกิดฝนตก
- ประสานการปฏิบัติร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง ในการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ โดยเฉพาะจุดที่ส่งผลกระทบต่อเครื่องสูบน้ำ และกองบังคับการตํารวจจราจรในการแก้ไขปัญหาการจราจรตลอด 24 ชั่วโม
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ(สตช.) มี 2 ภารกิจ คือ
- เพิ่มกําลังใน 22 จุดเสี่ยงเดิม และจุดเสี่ยงเพิ่มเติม ตลอด 24 ชั่วโมง
- เสนอข้อมูลจุดเสี่ยงอื่นเพื่อการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาร่วมกัน ได้แก่ บริเวณต่านเพลินจิต แยก อ.ส.ม.ท. หน้าโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี บริเวณหน้าปั้ม ป.ต.ท. สี่แยกบางนา และ อุโมงค์ดินแดง
ซึ่งในมติครม.ระบุจุดเสี่ยงว่า ในส่วนของเขตรอยต่อระหว่างเขตปริมณฑล และกรุงเทพมหานคร ดังนี้
- เขตรอยต่อจังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ได้แก่
- ถนนงามวงศ์วาน บริเวณใต้ทางด่วน - ถนนรัตนาธิเบศร์ - ถนนแจ้งวัฒนะ เช่น บริเวณหน้าเซนทรัลแจ้งวัฒนะ
- เขตรอยต่อจังหวัดปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร ได้แก่
- บริเวณอนุสรณ์สถาน แยกทางเข้าลําลูกกา - ตลาดสี่มุมเมือง - เมืองเอก - หน้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพ
- เขตรอยต่อจังหวัดสมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ได้แก่
- ตลาดสําโรง แยกปู่เจ้าสมิงพราย
กองทัพบก มี 4 ภารกิจ คือ
- ทุกเหล่าทัพแบ่งกำลังรับผิดชอบในทุกเขต โดยในส่วนของกองทัพบก เช่น กองพลที่1 รักษาพระองค์ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ และกองพลทหารราบที่ 4 รับผิดชอบเขต กรุงเทพมหานคร กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ รับผิดชอบ เขตสมุทรปราการ กองพลทหารปืนใหญ่ ต่อสู้อากาศยาน รับผิดชอบเขตนนทบุรี และปทุมธานี เป็นต้น
- ภารกิจที่มอบหมาย ได้แก่ การช่วยอํานวยความสะดวกการจราจร การเข็น รถเสียออกจากผิวจราจร การจัดชุดซ่อม สนับสนุนเครื่องสูบน้ำในบางจุด เป็นต้น
- การปฏิบัติงานร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.02) โดยการเสริม กำลังสารวัตรทหารปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- การออกปฏิบัติการ เมื่อตรวจสอบจากเรดาร์ของสำนักการระบายน้ำ และกรมอุตุนิยมวิทยา หากพบฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครเกิน 40 มิลลิเมตร ขึ้นไปจะออกปฏิบัติการทันที
สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มี 3 ภารกิจ
- สถานศึกษาในสังกัด จํานวน 21แห่ง ในกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมภารกิจ
- สถาบันในเขตปริมณฑล ได้แก่ สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้พื้นที่รอยต่อกับกรุงเทพมหานครเข้าร่วมภารกิจด้วย และในอนาคตสถาบันอาชีวะในทุกจังหวัด จะประสานการปฏิบัติในภารกิจนี้ร่วมกับจังหวัดผ่านทางสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด
- นักศึกษาที่เข้าร่วมภารกิจจะเตรียมการอยู่ ณ ที่ตั้ง แห่งละ 20-30 คน และจะออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนในเขตพื้นที่จุดเสี่ยงใกล้เคียงกับพื้นที่ของสถาบัน คือการซ่อมรถจักรยานยนต์/รถยนต์เบื้องต้น ให้สามารถใช้ต่อได้ และการเข็นรถออกไม่ให้กีดขวางการจราจร
การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) มี 4 ภารกิจ
- ประสานการปฏิบัติโดยตรงระหว่างกรุงเทพมหานคร และการไฟฟ้า นครหลวงเขต ตั้งแต่การเฝ้าระวังสถานการณ์ การแจ้งเตือน และการเตรียมการแก้ไขปัญหา
- จัดชุดปฏิบัติการเตรียมความพร้อมในจุดเสี่ยงสำคัญ โดยการจัดรถพร้อม เจ้าหน้าที่ขุดบำรุงรักษา ประจำใกล้ ๆ จุดเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะบริเวณสถานีสูบน้ำ เป็นต้น
- ให้ตัดแต่งกิ่งไม้บริเวณที่อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบการจ่ายไฟฟ้าให้เรียบร้อย
- ในจุดเสี่ยงสำคัญที่ห้ามไฟดับโดยเด็ดขาด ได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สำรอง (Generator) และช่างซ่อมไฟฟ้าประจำไว้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสูบน้ำของกรุงเทพมหานคร
กรมป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย(ปภ.) มี 4 ภารกิจ
- จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนกรณีน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติในภารกิจต่าง ๆ สนับสนุนการปฏิบัติงานของกรุงเทพมหานครและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- จัดชุดปฏิบัติการสนับสนุนกรณีรถเสียกีดขวางการจราจรช่วงน้ำท่วม ตลอดจน ความเดือดร้อนอื่น ๆ ของประชาชน
- สรุปการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานให้ผู้บริหารระดับสูงทราบอย่างต่อเนื่อง
- ประสานการแจ้งเตือนประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง กรณีพื้นที่การจราจร ติดขัดในช่วงฝนตกหนัก ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.02) โดยเพิ่มช่องทางในการสื่อสารถึง ประชาชนให้มากขึ้น
แต่วันเวลาผ่านไป 2558 -2565 จากยุคผู้ว่ากทม. ชื่อ "สุขุมพันธุ์ บริพัตร" จากนั้นเป็น "อัศวิน ขวัญเมือง" และปัจจุบันคือ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ไม่รู้ว่า มติครม.นี้ ยังใช้งานได้จริงอยู่อีกหรือไม่
ที่มาข้อมูล สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี