ผงะ! ฝีดาษลิงเพิ่มจำนวนได้ในน้ำอสุจิ น่ากลัวแค่ไหน อ่านเลยที่นี่

03 ส.ค. 2565 | 21:11 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ส.ค. 2565 | 21:56 น.

ผงะ! ฝีดาษลิงเพิ่มจำนวนได้ในน้ำอสุจิ น่ากลัวแค่ไหน อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ หมอเฉลิมชัยชี้เป็นครั้งแรกของโลกที่พบ

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า  

 

ครั้งแรกของโลก พบไวรัสฝีดาษลิงในน้ำอสุจิที่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ซึ่งแปลว่าฝีดาษลิงอาจกลายเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง

 

จากกรณีที่มีความสงสัยกันว่า ฝีดาษลิงนั้น นอกจากติดจากการสัมผัสระหว่างตุ่มที่มีไวรัสที่ผิวหนัง กับผิวหนังโดยตรงแล้ว (Skin to Skin)
ยังสามารถติดกันได้จากละอองขนาดใหญ่ (Droplet) ของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย

 

แล้วจะสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยน้ำอสุจิหรือการมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่

 

คำถามนี้เกิดขึ้น เนื่องจากฝีดาษลิงในปี 2565 เปลี่ยนแปลงไปจากฝีดาษลิงในอดีต

 

ซึ่งพบในมนุษย์เป็นครั้งแรก ในประเทศคองโก (DRC) เมื่อปี 2513 และเกิดขึ้นเป็นโรคประจำถิ่นเฉพาะในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก โดยที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง

ในช่วงแรก ของการระบาดในปี 2565 พบผู้ติดฝีดาษลิงกว่า 90% เป็นผู้ชาย และเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกันเอง (MSM)

 

ทำให้เกิดความสงสัยเรื่องการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ว่าเกิดจากการสัมผัสของตุ่มที่บริเวณอวัยวะเพศและรอบทวารหนัก ทำให้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ติดฝีดาษลิงจากการสัมผัสไวรัสโดยตรง

 

อย่างไรก็ตาม ก็มีรายงานการศึกษาอีก 2-3 รายงาน ทั้งจากอิตาลีและเยอรมัน ที่ตรวจพบสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ(DNA) ของไวรัสฝีดาษลิงในน้ำอสุจิ โดยพบตัวเลขอยู่ระหว่าง 79 ถึง 91%

 

ฝีดาษลิงเพิ่มจำนวนได้ในน้ำอสุจิ

 

แต่การพบสารพันธุกรรมดังกล่าว ก็ไม่ได้แปลว่ามีไวรัสที่มีชีวิตและสามารถก่อโรคในน้ำอสุจิได้

 

จนล่าสุด มีการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Lancet โดยการเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิจากชายวัย 39 ปี ที่มีประวัติเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันจำนวนหลายคน โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย

 

โดยเก็บตัวอย่างเป็นระยะ นับจากวันที่มีอาการวันที่ 5 ถึงวันที่ 19 ซึ่งนอกจากจะตรวจพบสารพันธุกรรมเหมือนรายงานอื่นแล้ว

 

 

สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ สามารถเพาะเชื้อหรือทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนได้
จึงนับเป็นครั้งแรก ที่พิสูจน์ได้ว่า มีไวรัสที่สามารถเพิ่มจำนวนหรือแพร่เชื้อในน้ำอสุจิได้

 

โดยผู้ชายคนดังกล่าว มีประวัติเริ่มต้นด้วยจากการเป็นไข้ และมีตุ่มที่ศรีษะ ลามไปหน้าอก ขาแขน มือ และอวัยวะเพศในที่สุด

 

โดยที่มีผลเลือด HIV เป็น + ด้วย

 

ข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นที่น่าสนใจและเป็นที่ตื่นเต้นในวงการแพทย์ว่า ในน้ำอสุจิมีไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงที่สามารถเพิ่มจำนวนหรือทำให้ติดเชื้อได้

 

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง (ซึ่งจำเป็นต้องรอรายงานเพิ่มเติม) ให้มากกว่านี้ ก็จะทำให้การควบคุมฝีดาษลิงยากลำบากขึ้น เพราะจะกลายเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง เช่นเดียวกับโรคเอดส์