น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ครั้งแรกของโลก พบไวรัสฝีดาษลิงในน้ำอสุจิที่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ซึ่งแปลว่าฝีดาษลิงอาจกลายเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง
จากกรณีที่มีความสงสัยกันว่า ฝีดาษลิงนั้น นอกจากติดจากการสัมผัสระหว่างตุ่มที่มีไวรัสที่ผิวหนัง กับผิวหนังโดยตรงแล้ว (Skin to Skin)
ยังสามารถติดกันได้จากละอองขนาดใหญ่ (Droplet) ของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย
แล้วจะสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยน้ำอสุจิหรือการมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่
คำถามนี้เกิดขึ้น เนื่องจากฝีดาษลิงในปี 2565 เปลี่ยนแปลงไปจากฝีดาษลิงในอดีต
ซึ่งพบในมนุษย์เป็นครั้งแรก ในประเทศคองโก (DRC) เมื่อปี 2513 และเกิดขึ้นเป็นโรคประจำถิ่นเฉพาะในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก โดยที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง
ในช่วงแรก ของการระบาดในปี 2565 พบผู้ติดฝีดาษลิงกว่า 90% เป็นผู้ชาย และเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกันเอง (MSM)
ทำให้เกิดความสงสัยเรื่องการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ว่าเกิดจากการสัมผัสของตุ่มที่บริเวณอวัยวะเพศและรอบทวารหนัก ทำให้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ติดฝีดาษลิงจากการสัมผัสไวรัสโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ก็มีรายงานการศึกษาอีก 2-3 รายงาน ทั้งจากอิตาลีและเยอรมัน ที่ตรวจพบสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ(DNA) ของไวรัสฝีดาษลิงในน้ำอสุจิ โดยพบตัวเลขอยู่ระหว่าง 79 ถึง 91%
แต่การพบสารพันธุกรรมดังกล่าว ก็ไม่ได้แปลว่ามีไวรัสที่มีชีวิตและสามารถก่อโรคในน้ำอสุจิได้
จนล่าสุด มีการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Lancet โดยการเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิจากชายวัย 39 ปี ที่มีประวัติเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันจำนวนหลายคน โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
โดยเก็บตัวอย่างเป็นระยะ นับจากวันที่มีอาการวันที่ 5 ถึงวันที่ 19 ซึ่งนอกจากจะตรวจพบสารพันธุกรรมเหมือนรายงานอื่นแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ สามารถเพาะเชื้อหรือทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนได้
จึงนับเป็นครั้งแรก ที่พิสูจน์ได้ว่า มีไวรัสที่สามารถเพิ่มจำนวนหรือแพร่เชื้อในน้ำอสุจิได้
โดยผู้ชายคนดังกล่าว มีประวัติเริ่มต้นด้วยจากการเป็นไข้ และมีตุ่มที่ศรีษะ ลามไปหน้าอก ขาแขน มือ และอวัยวะเพศในที่สุด
โดยที่มีผลเลือด HIV เป็น + ด้วย
ข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นที่น่าสนใจและเป็นที่ตื่นเต้นในวงการแพทย์ว่า ในน้ำอสุจิมีไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงที่สามารถเพิ่มจำนวนหรือทำให้ติดเชื้อได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง (ซึ่งจำเป็นต้องรอรายงานเพิ่มเติม) ให้มากกว่านี้ ก็จะทำให้การควบคุมฝีดาษลิงยากลำบากขึ้น เพราะจะกลายเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง เช่นเดียวกับโรคเอดส์