นายสันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง โพสข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว (Sunt Srianthumrong) โดยมีข้อความว่า
น้ำท่วมกรุงเทพฯ : สรุปแล้วตกลงว่า น้ำมาก ฝนมาก หรือว่าเป็นที่การบริหารจัดการไม่ดี เรามาดูตัวเลขย้อนหลัง 5 ปีกัน
บอกเลยว่า วันที่แย่ที่สุดของปีนี้ อาจจะยังมาไม่ถึง ทำใจไว้เลย และแน่นอนว่า ปีที่แย่ที่สุดก็น่าจะยังมาไม่ถึงเช่นกัน
เรามาค่อยๆวิเคราะห์ตัวเลขข้อมูลย้อนหลัง 5 ปีกัน ตัวเลขที่คิดว่าบ่งชี้ได้ดีว่าท่วมหรือไม่ท่วมเมื่อฝนตกเฉียบพลันคือตัวเลขรายวัน เพราะว่าน้ำท่วมแบบฝนตก
ส่วนมากก็เกิดจากการระบายระยะสั้นไม่ทัน ส่วนค่าปริมาณฝนรายเดือนจะเหมาะกับการวิเคราะห์การท่วมของกทม.จากน้ำเหนือ ซึ่งปัญหาที่เราเจอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ปัญหาท่วมจากฝนตกหนักในพื้นที่แบบรายวัน
ตารางที่ 1: ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุด ในรอบ 24 ชั่วโมง
ตัวเลขตั้งแต่ 1 ส.ค. - 10 ก.ย.
เช็คระดับ 100 ม.ม.
ช่วง 6 ปีมีเกิน 100 ม.ม ทั้งหมด 16 วัน โดยมี 8 วันอยู่ในปี 2565
กราฟที่ 1: ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุด ในรอบ 24 ชั่วโมง
ตัวเลขตั้งแต่ 1 ส.ค. - 10 ก.ย.
เช็คระดับ 120 ม.ม.
ช่วง 6 ปีมีเกิน 120 ม.ม ทั้งหมด 9 วันโดยมี 6 วันอยู่ในปี 2565 และทั้ง 9 วันอยู่ในช่วง 3 ปีหลัง
กราฟที่ 2: ค่าเฉลี่ย 7 วันของ ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุด ในรอบ 24 ชั่วโมง ตัวเลขตั้งแต่ 7 ส.ค. - 10 ก.ย.
ปีนี้ค่า 99.9 นับเป็นสถิติสูงสุดของ 7-day Moving Average ที่พบในเขตกทม.ในรอบ 6 ปี ถ้าเราดูเส้นกราฟสีแดงจะเห็นได้ว่า พุ่งทำลายสถิติแบบที่น่ากังวลมากว่ามันอาจจะไม่จบแค่นี้
กราฟที่ 3: ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุด ในรอบ 24 ชั่วโมง
ตัวเลขช่วง 3 เดือนตั้งแต่ 1 ส.ค. - 31 ต.ค.
กราฟบ่งบอกอนาคต
เราจะเห็นได้ว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กราฟแท่งสีเทาจะมีกราฟแท่งสูงๆในช่วงครึ่งหลังของหน้าฝน คือกลาง ก.ย. - ปลาย ต.ค. หนาแน่นกว่าในช่วงต้นหน้าฝน
ดังนั้น นี่คือความน่ากังวลว่า "วันที่เลวร้ายที่สุดของปีนี้ อาจจะยังมาไม่ถึง"
ท้ายตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย 10 วันแรกของเดือนกันยายน:
ทุบสถิติราบคาบ
บทสรุป:
สถิติที่ยังไม่ทุบ
1. ปริมาณฝนสูงสุดรายเฉพาะวัน เจ้าของสถิติเดิมที่ 223 ม.ม. คือเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2560 ภาพข่าวจาก The Standard วันนั้นตกหนักต่อเนื่องจากช่วงกลางคืนแค่วันเดียวเท่านั้นก็เละแบบหมดสภาพ หนักยิ่งกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาเยอะ
บางทีคิดว่านี่คือแค่จุดเริ่มต้น ซึ่งไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นของปีนี้นะ
แต่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของหายนะภัยที่จะมาในปีต่อๆไปด้วย ยิ่ง Global Warming รุนแรงขึ้นเท่าใหร่ เราจะยิ่งเจอ Extreme Weather Event แบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หายนะจริงย่อมรุนแรงกว่าสัญญาณเตือน
และถ้าน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่านี้อีกในช่วงปีค.ศ. 2050 สิ่งที่ผมกังวลที่สุดตอนนี้คือ กทม.และอีกหลายพื้นที่โดยรอบ จะยังคงสามารถอยู่อาศัยได้หรือไม่ ถ้าผู้คนยังไม่ใส่ใจและละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อมกันแบบนี้ มนุษย์เราส่วนมากก็มองเห็นกันแต่ พวกใครพวกมัน การเมือง เงินในกระเป๋า GDP และความมักง่ายสารพัด
ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริงๆ เที่ยวหน้าผมจะเอาแผนที่น้ำท่วมในปี 2050 มาวิเคราะห์ร่วมกับเรื่องโลกร้อนกัน แล้วค่อยมาดูกันว่า พ่อบ้านแม่บ้าน มนุษย์ธรรมดา จะเอาตัวรอดกันอย่างไร
จำกันไว้ว่า This is just the Beginning.
ปล. จากคนที่ไม่ลงทุนอสังหาฯในกทม.เลยแม้แต่บาทเดียว