thansettakij
รพ.พญาไท-เปาโล ชูโมเดล Value-Based Healthcare รุกธุรกิจเฮลท์แคร์

รพ.พญาไท-เปาโล ชูโมเดล Value-Based Healthcare รุกธุรกิจเฮลท์แคร์

22 มี.ค. 2568 | 03:07 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 03:19 น.

เครือ รพ.พญาไทและเปาโล ชูแนวคิดการบริหาร Value-Based Healthcare ตอบโจทย์ผู้ป่วยทุกมิติ ชี้ 3 ปัจจัยเฝ้าระวัง ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ การแข่งขันที่ดุเดือด ระบบประกันสุขภาพ

นพ. อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการแพทย์ เครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปีที่ผ่านมาเครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลยังคงอัตราการเติบโตไว้ได้ พร้อมพัฒนาคุณภาพด้านเทคโนโลยีในการรักษาได้ดี

แต่ต้องยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ และกระทบกับทุกโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มคนไข้ระดับกลาง เพราะค่าครองชีพกับอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงขึ้นตาม ขณะที่กลุ่มคนไข้ระดับบนที่มีกำลังจ่ายสูงแทบไม่ได้รับกระทบเลย

รพ.พญาไท-เปาโล ชูโมเดล Value-Based Healthcare รุกธุรกิจเฮลท์แคร์

จากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เดินหน้าภายใต้วิชันด้านการดูแลสุขภาพที่มุ่งเน้นคุณค่า (Value-Based Healthcare) มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค ป้องกันการเจ็บป่วย และเน้นแนวทางการรักษาที่เหมาสมกับโรคโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แต่ให้ทางเลือกและคุณค่าที่เหมาะสมกับลูกค้าผู้รับบริการ รวมถึงการเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว ใช้ระยะเวลารอคอยน้อย ทำให้แวลูของการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพ

“เราใช้แนวทางการบริหารโรงพยาบาลแบบ Value-Based Healthcare มาประมาณ 2 ปีแล้ว เป็นแนวคิดจากอเมริกา เน้นใช้การแพทย์การดูแลแบบองค์รวมด้วยการป้องกัน (Preventive Healthcare) ซึ่งมีราคาถูกมากกว่าการรักษา

เช่น การฉีดวัคซีน การใช้เวชศาสตร์ชะลอวัย เพราะเวลาป่วยแล้วจะรักษายากและมีค่าใช้จ่ายสูงมากกว่า การใช้แนวคิดนี้จะทำให้ผู้เข้ารับบริการเสียค่าใช้จ่ายน้อยและได้ผลลัพธ์มาก ลูกค้าสามารถเลือกจ่ายได้ตามระดับบริการที่ต้องการ เป็นแนวทางสำคัญที่จะเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าได้”

รพ.พญาไท-เปาโล ชูโมเดล Value-Based Healthcare รุกธุรกิจเฮลท์แคร์

ทั้งนี้ ทุกโรงพยาบาลเอกชนรวมถึงโรงพยาบาลรัฐ เริ่มหันมาสนใจด้านการดูแลสุขภาพที่มุ่งเน้นคุณค่า (Value-Based Healthcare) มากขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มศักยภาพทางด้านการแพทย์มากขึ้นเช่นกัน

ทั้งการใช้ระบบดิจิทัล ระบบ AI อ่านผลตรวจ ใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด ระบบการแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine ผ่านแอพพลิเคชัน เพื่อนัดหมอ รายงานผล บันทึกผลสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแพทย์ได้มาก แต่การแข่งขันเรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียวยังไม่พอสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ยังต้องเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร สร้างผลลัพธ์การรักษาให้มีคุณภาพด้วย

นพ. อนันตศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของโรงพยาบาลพญาไท 2 จะมีคนไข้กลุ่มใหญ่เป็นวัยกลางคนจนถึงคนไข้กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นโรงพยาบาลที่ดูแลเรื่องโรคยากและซับซ้อนได้ค่อนข้างดี เช่น โรคหัวใจ โรคกระดูก ตลอดจนคนไข้กลุ่มแม่และเด็ก คนไข้ทางนารีเวช

แผนที่วางไว้ภายใน 2-3 ปีนับจากนี้ จะพยายามจับกลุ่มคนไข้พรีเมียมมากขึ้นโดยไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มเดิม และขณะนี้กำลังปรับปรุงพื้นที่หน้าโรงพยาบาลอาคาร A และอาคาร B เพื่อรองรับคนไข้ให้มากขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนคนไข้คนไทยกว่า 80% คนไข้ต่างชาติ 20% มาจากกลุ่ม CLMV จีน และตะวันออกกลาง

รพ.พญาไท-เปาโล ชูโมเดล Value-Based Healthcare รุกธุรกิจเฮลท์แคร์

ทั้งนี้ โรงพยาบาลพญาไท 2 มีสัดส่วนของลูกค้าประกันสุขภาพ (Health Insurance) ประมาณ 30% และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น 30-40% ต่อปี ที่เหลือคือผู้รับบริการจ่ายเงินเองซึ่งมีแนวโน้มลดลง แต่ในภาพรวมยังมีอัตราการเติบโตที่ดี

มีคนไข้ OPD หรือ ผู้ป่วยนอก เฉลี่ย 2,000 – 3,000 รายต่อวัน คนไข้ IPD หรือ ผู้ป่วยในเฉลี่ย 150-200 คนต่อวัน มีทั้งหมด 260 เตียง ระบบการรักษาถือว่าสอดคล้องไปกับการแพทย์ยุคใหม่ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ด้วยบุคลากรทางการแพทย์ Full Time กว่า 130 คน และแพทย์ Part Time อีก 500 คน รองรับผู้ป่วยได้ครบทุกสาขา

“สำหรับโรงพยาบาลพญาไท 2 นอกจากปรับปรุงพื้นที่หน้าโรงพยาบาล ยังปรับปรุงห้องผ่าตัดเพื่อให้มีระบบมาตรฐานที่สูงขึ้น ปรับปรุงระบบไอซียู ลงทุนกับเครื่องมือการแพทย์ ขยายคลินิกรอง เพิ่มศักยภาพรองรับผู้ป่วยให้มากขึ้น ด้วยราคาที่เข้าถึงได้กับคนทุกกลุ่ม ครอบคลุมทุกแผนก ทุกมิติ รวมถึงการตรวจเช็คสุขภาพในองค์กรต่างๆ ด้วย และในเครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลถือว่ามีลูกค้าองค์กรมากที่สุดติดอันดับต้นๆ 1 ใน 3 ของประเทศ”

รพ.พญาไท-เปาโล ชูโมเดล Value-Based Healthcare รุกธุรกิจเฮลท์แคร์

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังสำหรับธุรกิจการแพทย์ของไทยในปีนี้ ได้แก่ 1.สภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดีนัก 2.การแข่งขันของโรงพยาบาลเอกชนที่สูงขึ้น 3.การตอบสนองของลูกค้าต่อระบบประกันสุขภาพ ส่วนปัจจัยบวกที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจคือ ความต้องการในการดูแลรักษาสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะการตรวจเช็คสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรค จากปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมและมลพิษในปัจจุบัน ที่มีโอกาสติดเชื้ออุบัติใหม่มากขึ้น ตลอดจนการศัลยกรรม ดูแลสุขภาพร่างกายเพื่อความสวยงาม และทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันประเทศไทยให้เป็น Medical Hub ได้ในอนาคต