นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ (หมอมนูญ) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC) โดยมีข้อความระบุว่า
ผู้ป่วยอายุ 67 ปีที่เป็นโรคโควิดซ้ำครั้งที่ 2 ในเวลา 19 วัน เป็นครั้งที่ 2 รุนแรงกว่าครั้งแรก
เกิดปอดอักเสบ ต้องให้ออกซิเจน ได้รับการรักษาด้วยยาฉีดเรมเดซิเวียร์และเสตียรอยด์ จนดีขึ้นเกือบปกติ
ผู้ป่วยเคยรับวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว 3 เข็ม เป็นแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม ตามด้วยเข็มกระตุ้นไฟเซอร์ 1 เข็ม
24 วันหลังป่วยเป็นโรคโควิดครั้งที่ 2 ได้ตรวจหาระดับแอนติบอดีในเลือดต่อโปรตีนส่วนที่เป็นหนาม SARS-CoV2 IgG (Anti Spike)
พบเพียง 8 AU/ml น้อยกว่า 50 แปลผลว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน
ผู้ป่วยรายนี้เคยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เคยได้รับยาเคมีบำบัด รักษาหายแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน
การที่จะให้ผู้ป่วยรายนี้วัคซีนป้องกันโรคโควิดอีก 1 เข็มเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันคงไม่มีประโยชน์
เนื่องจากผู้ป่วยไม่มีการตอบสนองสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ทั้งๆที่เคยฉีดมาแล้ว 3 เข็ม และจากการติดเชื้อทางธรรมชาติ 2 ครั้งเลย
ผมแนะนำให้ผู้ป่วยไปรับยา Evusheld ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นแอนติบอดีสำเร็จรูป
ออกฤทธิ์ยาว 2 ชนิด คือ tixagevimab และ cilgavimab ให้เพื่อป้องกันการป่วยจากโรคโควิดแบบมีอาการได้ 83%
โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกหรือต้นขา 2 ข้าง
ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันได้ทันทีพร้อมที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นาน 6 เดือน
ผู้ที่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ Evusheld ได้แก่ ผู้ป่วยล้างไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
ผู้ที่กินยากดภูมิ กินเสตียรอยด์ขนาดสูงๆ และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต้านตนเอง (autoimmune diseases)
โดยเฉพาะคนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดอย่างน้อย 3 เข็มแล้ววัดแอนติบอดี IgGในเลือดต่อโปรตีนส่วนที่เป็นหนาม พบระดับภูมิคุ้มกันต่ำมากอย่างผู้ป่วยรายนี้