หากพูดถึงความยั่งยืนในวงการสาธารณสุข หลายคนอาจมีมุมมองต่างกัน โดยรอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ได้สำรวจเกี่ยวกับ “สาธารณสุขแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC)” ที่จัดทำโดย Kantar Profiles Network สำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาค 3,040 คน จากประเทศออสเตรเลีย, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และประเทศไทย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล หรือ คน Gen Y เป็นผู้ตอบแบบสำรวจ และกว่า 97% ในประเทศไทยตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลกระทบของสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพส่วนบุคลล โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลรุ่นใหม่ (71%) และมิลเลนเนียลรุ่นเก่า (65%) ในขณะที่ 85% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเห็นความสำคัญของการนำแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้
สำหรับประเทศไทย ส่วนมากจะเห็นความสำคัญต่อสาธารณสุขแบบยั่งยืน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการนำไปใช้จริงยังถือว่าต่ำมาก มีเพียง 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เห็นว่ามีคนนำสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้แล้ว นอกจากนี้ 65% ของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยยังระบุว่าการรับมือกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการทิ้งขยะอันตราย เป็นเหตุผลหลักที่แสดงให้เห็นความสำคัญของสาธารณสุขแบบยั่งยืน ในขณะที่ 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าสาธารณสุขแบบยั่งยืนจะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่ 56% เห็นว่าสาธารณสุขแบบยั่งยืนจะช่วยป้องกันสุขภาพของตนเอง ครอบครัวและคนที่รักได้
ในกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทย กลุ่มมิลเลเนียลให้ความสำคัญต่อสาธารณสุขแบบยั่งยืนมากที่สุดถึง 70% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มช่วงอายุอื่น ในขณะเดียวกันกว่า 40% ของกลุ่มมิลเลเนียลยังเห็นว่าสาธารณสุขแบบยั่งยืนเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ควรนำมาปฏิบัติอย่างกว้างขวาง แต่กลุ่มอายุอื่นเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน
ส่วนเกือบทั้งหมด (93%) ของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เห็นว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืน โดยผลลัพธ์จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการสาธารณสุขเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ได้แก่ การจัดการทรัพยากรด้านสาธารณสุขได้ดีขึ้นผ่านการใช้งานและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (27%), การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (25%), ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยลดการใช้ทรัพยากรจากการเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัล หรือการใช้โซลูชันคลาวด์ หรือการดูแลรักษาผ่านระบบออนไลน์ (20%)
"วิโรจน์ วิทยาเวโรจน์" ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพส่วนบุคคลกับสิ่งแวดล้อม และเห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรมและการนำแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้ให้เกิดจริง 'ฟิลิปส์' ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขที่สามารถดูแลผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อมได้ ผ่านการออกแบบ นวัตกรรม และความยั่งยืน ภายใต้แคมเปญ 'Care Means the World' ที่จำเป็นต้องเข้าใจถึงความคาดหวังของผู้คนด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืน เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบนิเวศด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นำไปสู่การดูแลรักษาในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน
"ผลสำรวจในประเทศไทยระบุว่า ผู้คนตระหนักถึงแนวทางการดำเนินการแบบหมุนเวียน (Circularity) มากขึ้น ได้แก่ การรีไซเคิล (41%) และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (41%) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนที่คนไทยตระหนักถึงมากที่สุด สำหรับการเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านระบบออนไลน์ โดยตระหนักถึงในระดับปานกลาง นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจในไทยยังตระหนักถึงระบบสาธารณสุขแบบหมุนเวียน (37%), ส่งเสริมความรู้เรื่องโรคและการตรวจคัดกรอง (37%) รวมถึงการกำจัดและการจัดการขยะอันตรายอย่างเหมาะสม (36%)"
โดย 7 ใน10 หรือ 69% ของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมองว่า แนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่ระบุว่าได้นำสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้ในประเทศของตนเป็นวงกว้างแล้ว ส่วนในประเทศไทยมีอุปสรรคหลักในการนำสาธารณสุขแบบยั่งยืนไปใช้จริง ได้แก่ การเข้าถึงบริการสาธารณสุขแบบยั่งยืน (41%), ต้นทุนที่สูงขึ้น (37%) และขาดแรงจูงใจด้านการเงิน (36%) หลายคนยังกล่าวว่าการนำความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนไปสู่ระบบสาธารณสุขขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อนต้องใช้เวลานาน (34%) และยังมีความตระหนักน้อยเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างระบบสาธารณสุขแบบเดิมกับแบบยั่งยืน (34%)
ขณะที่อุปสรรคอื่นๆ อาทิ กังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลเมื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และความเคยชินในการปฏิบัติแบบเดิมส่งผลต่อการนำแนวทางปฏิบัติแบบใหม่มาใช้ให้เป็นเรื่องยากขึ้น
นอกจากนี้ 60% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยเลือกเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบพบหน้า ส่วนอัตราการรับคำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านทางออนไลน์ในกลุ่มมิลเลเนียล (มากกว่า 40%) สูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ตอบแบบสำรวจเลือกรับคำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านทางออนไลน์ในทุกกลุ่มอายุ เพราะการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ส่วนเหตุผลหลักในการรับคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบพบหน้าในทุกกลุ่มอายุ คือ การได้รับการตรวจรักษาโดยตรง และการได้พูดคุยแบบตัวต่อตัว
ทั้งนี้ การเข้าถึงตัวเลือกบริการสาธารณสุขแบบยั่งยืนได้มากขึ้น (46%) เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะก่อให้เกิดการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การให้ความรู้ (45%) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดสาธารณสุขแบบยั่งยืน เนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจต่างเห็นว่า การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ให้มากขึ้น จะทำให้พวกเขารู้ว่าหลักปฏิบัติง่ายๆ ที่สามารถทำได้เพื่อสนับสนุนสาธารณสุขแบบยั่งยืน และปัจจัยอื่นๆ (44%) จะช่วยให้มีความรู้และความเข้าใจที่จำเป็นในการสนับสนุน, ดำเนินการ และการนำแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนมาใช้