น้ำตาล หรือความหวานเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงหลักของเซลล์ต่างๆในร่างกาย แต่ไม่จำเป็นต้องเติมตลอด
ประเด็นที่สำคัญก็คือ จะรับประทาน หรือกินอย่างไรให้เหมาะสม
นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jiraruj Praise โดยมีข้อความระบุว่า
Q: เซลล์ร่างกายเราต้องใช้พลังงานจากน้ำตาล ถ้าเราไม่กินคาร์บ แล้วเราจะเอาน้ำตาลที่ไหน มาใช้เป็นพลังงานแล้วสมองไม่เบลอแย่หรือ
A: ร่างกายเราสามารถสร้างน้ำตาลใหม่ในกระแสเลือดได้ตลอดเวลา โดยการเปลี่ยน ไกลโคเจน ไขมัน และ กรดอะมิโน มาเป็นน้ำตาลได้
กระบวนการดังกล่าวเราเรียกว่า Gluconeogenesis >> Gluco-น้ำตาล neo-ใหม่ genesis-สร้าง
ซึ่งกระบวนการนี้เกิดขึ้นที่ตับ ของเรานั่นเอง (รักษาตับกันหน่อย)
โดยกระบวนการนี้ จะเอาสิ่งที่เราเก็บไว้ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ไกลโคเจน ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ และกรดอะมิโนมาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคส
ทำไมต้องรักษาระดับน้ำตาลไว้ นั่นก็เพราะแม้เซลล์ต่างๆ จะสามารถใช้เชื้อเพลิงได้จากทั้ง กรดไขมัน คีโตน และน้ำตาล แต่ยังมีเซลล์บางส่วนของร่างกาย ที่ต้องสามารถใช้เพียงกลูโคสได้เท่านั้น ได้แก่ เซลล์สมองบางส่วน (20%) เซลล์เนื้อไต medulla และ เซลล์เม็ดเลือดแดง(ไม่มีไมโตครอนเดีย)
หมอจิรรุจน์ ระบุว่า กระบวนการสร้างน้ำตาลใหม่จะเกิดขึ้น ในช่วงงดกิน โดยจะไล่ไปตั้งแต่ เอาไกลโคเจนมาใช้ก่อนเพราะ อยู่ในเซลล์ตับเองอยู่แล้ว พอหมดแล้ว ต่อมาก็สลายไขมันออกมากจากเซลล์ไขมันที่สะสมไว้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การลดลงของระดับฮอร์โมนอินซูลิน และ การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนกลูคากอน
ดังนั้น เราไม่มีความจำเป็นต้อง "เติมน้ำตาล" จากภายนอกอะไรมากมาย โดยเฉพาะ "น้ำตาลทราย" ที่อยู่บนโต๊ะอาหาร หรือ ในห้องครัว หรือ ห้องเบรกกินกาแฟเลย
หากถามว่าแล้วทำไมเราสดชื่น หลังเราได้กินอะไรหวานๆ นั่นไม่ใช่เพราะระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ดีขึ้นหรือ คำตอบคือ "ไม่ใช่เลย"
ความสดชื่น จากการกินน้ำตาลดังกล่าว ไม่ได้เป็นผลจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น
แต่เป็นผล จาก "การได้รางวัลจากการเสพติด" ของสมองที่ตอบสนองต่อความหวาน
และน้ำตาลฟรุกโตส ผ่านสารสื่อประสาท โดปามีน
ซึ่งจะพาชีวิต ของท่าน ดำดิ่งเข้าสู่การอักเสบ การสะสมไขมัน ซึ่งจะนำไปสูโรคเรื้อรัง
เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง
ดังนั้น จึงพูดเสมอว่า "น้ำตาลทราย" และ ความหวาน คือยาเสพติด
ดีกว่ายาบ้านิดเดียว คือ เสพแล้วไม่เอามีดไปเที่ยวไล่แทงใคร
(แต่เหมือนเอามีดกรีดตัวเองให้เป็นแผลเรื้อรัง เสียเลือดทีละนิด รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว)