ไข้เลือดออกอาการอย่างไร ห้ามกินยาชนิดไหน ถึงตายหรือไม่ เช็คเลย

04 มิ.ย. 2566 | 02:32 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มิ.ย. 2566 | 02:33 น.

ไข้เลือดออกอาการอย่างไร ห้ามกินยาชนิดไหน ถึงตายหรือไม่ เช็คเลยที่นี่มีคำตอบให้ครบทุกประเด็น ฐานเศรษฐกิจรวบรวมข้อมูลจากกรมควบคุมโรคไว้แล้ว พร้อมวิธีป้องกันเบื้องต้นก่อนที่จะเกิดโรค

ไข้เลือดออกจะเกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายในช่วงหน้าฝน และขณะนี้ประเทศไทยเองก็กำลังจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ ประเด็นที่สำคัญที่ได้รับความสนใจขก็คือ ไข้เลือดออกอาการอย่างไร ห้ามกินยาชนิดไหน 

"ฐานเศรษฐกิจ" จึงถือโอกาสหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้ออกมามานำเสนอ เพื่อให้ได้คอยสังเกตุอาการของตนเอง รวมถึงคนใกล้ชิด และหาวิธีป้องกัน

ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งมักระบาดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเมื่อฝนตกจะทำให้เกิดน้าขังในภาชนะต่างๆ กลายเป็นแหล่งวางไข่ของยุง ส่งผลให้ยุงพาหะชุกชุมมากขึ้น ประชาชนจึงอาจเสี่ยงป่วย "โรคไข้เลือดออก"

อาการไข้เลือดออก

  • มีไข้สูงเฉียบพลัน และสูงลอยประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ 
  • ปวดเมื่อยตามตัว 
  • หน้าแดง 
  • อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา 
  • อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร 
  • ส่วนใหญ่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก 

ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งลักษณะอาการบางอย่างของโรคไข้เลือดออก อาจมีอาการคล้ายกับโรคโควิด 19 

ขอให้สังเกตอาการป่วยของคนในครอบครัว หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดลง ขอให้คิดว่าอาจป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก 

ยาห้ามรับประทาน

ไข้เลือกออกไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยเฉพาะยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ได้แก่ 

  • ไอบูโพรเฟน
  • ไดโครฟีแนก 
  • แอสไพริน 
  • ยาชุด

เนื่องจากมีผลทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้ง่าย และยากต่อการรักษา ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการ เพื่อที่จะได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว จะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตได้ 

โดยปัจจุบันมีการใช้ชุดตรวจโรคไข้เลือดออกชนิดรวดเร็ว (Dengue Rapid Diagnosis Test) ทำให้สามารถวินิจฉัยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกได้เร็วมากขึ้น
 

วิธีป้องกัน

การป้องกันโรคไข้เลือดออกให้ได้ผลดีที่สุด คือการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุงหรือนอนในมุ้ง กำจัดแหล่งวางไข่ยุงลายรอบบ้าน ทำลายภาชนะที่มีน้ำขัง หรือใช้ทรายกำจัดลูกน้ำบริเวณน้ำขัง และที่สำคัญต้องไม่สร้างแหล่งวางไข่ยุงลายเพิ่มขึ้น 

ให้ยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่  

  • เก็บบ้านให้สะอาด ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้าน ให้มีความเป็นระเบียบ ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง  
  • เก็บขยะ บริเวณรอบบ้านไม่ให้เป็นแหล่งวางไข่ยุงลาย 
  • เก็บน้ำ โดยปิดฝาภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์ พร้อมทั้งขัดขอบภาชนะ เพื่อกำจัดไข่ยุงลาย 

ข้อมูล : กรมควบคุมโรค