โรคกิลแลง-บาร์เร คืออะไรกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หลังประเทศเปรูประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ เป็นเวลา 90 วัน เนื่องจากเกิดผู้ป่วยในกลุ่มอาการ โรคกิลแลง-บาร์เร ที่ก่อให้เกิดอาการอัมพาตอย่างรวดเร็ว มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันถึง 165 ราย ในเวลาเพียงเดือนเดียว โดยในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 4 รายที่เชื่อมโยงกับอาการของโรคกิลแลง-บาร์เร
จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับโรคดังกล่าว พบว่า
"โรคกิลแลง-บาร์เร" (Guillain-Barre Syndrome) หรือ GBS จัดอยู่ในภาวะภูมิคุ้มกันแปรปรวนที่พบได้ค่อนข้างยาก เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีออกมาทำลายเซลล์ประสาทของระบบประสาทรอบนอกจนอักเสบ และสูญเสียการทำงาน
ทั้งนี้ กลุ่มอาการ กิลแลง-บาร์เร หรือ GBS จัดอยู่ในภาวะภูมิคุ้มกันแปรปรวนที่พบได้ค่อนข้างยาก เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีออกมาทำลายเซลล์ประสาทของระบบประสาทรอบนอกจนอักเสบ
และสูญเสียการทำงาน ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนแรง มึนงง เกิดเหน็บชาตามร่างกายในระยะแรก และอาการอาจรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นอัมพาตในที่สุด
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันทางการแพทย์แบ่งกลุ่มอาการ โรคกิลแลง-บาร์เร หรือ GBS ออกเป็นหลายชนิด โดยชนิดหลักๆ ที่มักพบมีดังนี้
อาการของกลุ่ม โรคกิลแลง-บาร์เร
ในระยะแรกมักเริ่มจากมีอาการเหน็บชา ตามส่วนล่างของร่างกาย เช่น หัวแม่เท้า เท้า และขา แล้วค่อยๆ ลุกลามไปยังแขนและนิ้วมือ จากนั้นจึงเริ่มมีอาการอื่นๆ ที่อาจสังเกตได้ ดังนี้
หลังจากเริ่มแสดงอาการในระยะต้น เช่น เหน็บชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการของผู้ป่วยจะทรุดลงใน 2-4 สัปดาห์ และเข้าสู่ระยะฟื้นตัวเมื่อถึงช่วงสงบของโรคใน 2-4 สัปดาห์ต่อมา ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแย่ลงมากภายในเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงได้เช่นกัน
สาเหตุของกลุ่ม โรคกิลแลง-บาร์เร
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายหันมาทำลายเซลล์ประสาทของระบบประสาทรอบนอก ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางคอยแปลงสัญญาณจากสมองเพื่อส่งไปยังกล้ามเนื้อให้เคลื่อนไหวตามคำสั่ง เซลล์ประสาทจะเกิดการอักเสบและสูญเสียการทำงาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อรับสัญญาณที่สมองส่งมาไม่ได้และมีอาการดังข้างต้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาการ กิลแลง-บาร์เร เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่ผู้ป่วยส่วนมากอยู่ในวัยผู้ใหญ่ และเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยในปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของกลุ่มอาการนี้ แต่เชื่อว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ ได้แก่
การติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์เจจูไน ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียและเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก รวมถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อโรคอื่นๆ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อเอชไอวี โรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส โรคติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ โรคปอดอักเสบจากไมโคพลาสม่า เป็นต้น
วัคซีน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
การวินิจฉัยกลุ่มอาการ กิลแลง-บาร์เร
โดยปกติผู้ป่วยมักแสดงอาการคล้ายคลึงกับผู้ที่มีระบบประสาทเสียหายจากสาเหตุอื่น เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือภาวะพิษจากโลหะหนัก ทำให้การวินิจฉัยอาการในขั้นแรกนั้นทำได้ค่อนข้างยาก แพทย์จึงต้องสอบถามอาการและประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้โรค ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ดังนี้
การเจาะน้ำไขสันหลัง คือการเจาะไขสันหลังช่วงล่างเพื่อนำของเหลวที่เรียกว่าน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังมาตรวจวัดระดับโปรตีน เนื่องจากผู้ป่วย GBS มักมีระดับโปรตีนในของเหลวชนิดนี้สูงกว่าปกติ
การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ คือการตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อ เพื่อวินิจฉัยว่าอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นมีสาเหตุมาจากความเสียหายของระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อกันแน่
การตรวจการชักนำประสาท คือการใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กทดสอบการตอบสนองของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
การรักษากลุ่มอาการ กิลแลง-บาร์เร
กลุ่มอาการนี้ไม่มียาหรือวิธีรักษาเฉพาะ แต่ร่างกายคนเราสามารถเยียวยาตัวเองให้หายได้ เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลา แนวทางการรักษาจึงทำโดยประคับประคองอาการไม่ให้แย่ลง เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ดังนี้
การแลกเปลี่ยนพลาสม่า มีจุดประสงค์เพื่อกำจัดแอนติบอดีผิดปกติในพลาสม่าที่เข้าทำลายเซลล์ประสาท โดยจะถ่ายเลือดออกจากร่างกายผู้ป่วยแล้วใช้เครื่องมือพิเศษแยกแอนติบอดีที่ผิดปกติออกจากเลือด จากนั้นจึงนำเลือดที่ปราศจากแอนติบอดีดังกล่าวกลับคืนสู่ร่างกาย
การบำบัดรักษาด้วยอิมมูโนโกลบูลิน คือการรักษาด้วยการให้อิมมูโนโกลบูลิน ซึ่งนอกจากจะมีแอนติบอดีที่ดีต่อร่างกายเป็นองค์ประกอบแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำงานของแอนติบอดีที่ผิดปกติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีรักษาด้วยการแลกเปลี่ยนพลาสม่าหรือการบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลินนั้นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเลือกใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์และความพอใจของผู้ป่วยเป็นหลัก
วิธีการรักษาอื่นๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดในช่วงก่อนและระหว่างที่รอฟื้นตัว เพื่อสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ รวมทั้งอาจได้รับยาบรรเทาอาการปวดและป้องกันเกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่มในระหว่างที่ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้