มะเร็งรังไข่ นับเป็นอีกหนึ่งโรคที่ควรให้ความสนใจ และหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นภัยที่ร้ายแรงสำหรับสุภาพสตรี
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" จะพาไปทำความรู้จักกับ "มะเร็งรังไข่" ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลใช้เป็นแนวทางในการป้องกันตนเอง
ข้อมูลโดยนายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า ใประเทศไทย มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งมดลูก สถิติจากข้อมูล Cancer In Thailand Vol.X ปี 2016–2018 ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่า คนไทยป่วยเป็นมะเร็งรังไข่รายใหม่ ปีละประมาณ 2,900 ราย
โดยทั่วไปผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ในระยะแรกมักจะไม่มีอาการผิดปกติ หรือมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ท้องอืด อึดอัดแน่นท้อง ทานอาหารได้น้อยลง เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยมากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ทั้งหมดจะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการมากและตรวจพบว่าอยู่ในระยะลุกลามแล้ว
ทําให้ผลการรักษาไม่ดี มีโอกาสเป็นโรคซ้ำหลังการรักษาสูง และมีอัตราการรอดชีพต่ำ ดังนั้น มะเร็งรังไข่จึงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดในมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรีด้วยกัน
นายแพทย์ศุภกร พิทักษ์การกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิทยานรีเวช สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งที่เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเนื้อเยื่อบริเวณรังไข่ (Ovary) หรือท่อนำไข่ (Fallopian Tube) ทำให้รังไข่มีขนาดโตขึ้น
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สตรีมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ได้สูงขึ้น ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะอ้วน มีบุตรยาก รับประทานอาหารที่มีเส้นใยต่ำ มีภาวะขาดวิตามินเอ มีการทาแป้งฝุ่นบริเวณอวัยวะเพศ
และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกอย่างคือสตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่สูงถึง 20-40% สตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีนส์ BRCA จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่และมะเร็งเต้านม
ซึ่งหากตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีนส์ดังกล่าว จะสามารถใช้วางแผนในการดูแลเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในสตรีที่ยังไม่เป็นโรค, การเลือกใช้ยามุ่งเป้า, รวมถึงการตรวจเพิ่มเติมเพื่อวางแผนป้องกันการเกิดโรคในญาติสายตรง
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีการตรวจคัดกรองที่มีความเฉพาะเจาะจงและประสิทธิภาพสูงพอในการตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่สำหรับสตรีปกติทั่วไป ดังนั้นในปัจจุบันยังคงแนะนำว่า สตรีทุกคนควรได้รับการตรวจภายในประจำปีอย่างสม่ำเสมอกรณีไม่มีอาการผิดปกติ
หากมีอาการผิดปกติใดๆเช่น ปวดท้องน้อย เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ท้องโตผิดปกติหรือคลำก้อนได้ในท้อง ให้รีบเข้ารับคำปรึกษาและตรวจเพิ่มเติมจากแพทย์เฉพาะทางด้านนรีเวชจะดีที่สุด
ส่วนแนวทางการรักษาหลักของมะเร็งรังไข่คือ การผ่าตัดเพื่อเอาก้อนมะเร็งออกให้ได้มากที่สุด ตรวจหาการแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น ๆ และเพื่อกําหนดระยะของโรค หลังจากนั้นจึงพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดหากมีข้อบ่งชี้ ปัจจุบันนอกจากยาเคมีบำบัดแล้วยังมียามุ่งเป้า (Targeted therapy) ที่มีการให้เสริมหรือร่วมกับยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อบ่งใช้ หลังการรักษาผู้ป่วยจะได้รับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจหาการเป็นซ้ำของโรค
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมะเร็งรังไข่มักวินิจฉัยได้ในระยะแพร่กระจาย ทำให้ผลการรักษาไม่ค่อยดี มีโอกาสกลับเป็นซ้ำค่อนข้างสูง และปัจจุบันก็ยังไม่มีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพดีพอ ดังนั้นจึงแนะนำสตรีอย่าลืมเข้ารับการตรวจภายในประจำปีอย่างสม่ำเสมอ และหากมีอาการผิดปกติที่สงสัยให้รีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว