นับตั้งแต่ประเทศไทยประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 ประชาชนเลือกสวมหน้ากากอนามัยได้ตามความสมัครใจ ประกอบกับช่วงนี้ประเทศไทยยังมีฝนตกต่อเนื่อง พบว่าแนวโน้มของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจโดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า การสวมหน้ากากอนามัยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้อย่างดี
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์โรคโควิด 19 ขณะนี้จะพบผู้ป่วยลดลงต่อเนื่องแต่สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 16 ก.ย. 66 มีผู้ป่วย 185,216 ราย อัตราป่วยจากโรคไข้หวัดใหญ่ 279.9 ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย มีผู้ป่วยเพิ่มมากกว่า 12,000 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 และค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังซึ่งได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมพร้อมทีมสอบสวนควบคุมโรคเพื่อรองรับการระบาดแล้ว ตามนโยบายของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจซึ่งโรคหลัก ๆ ที่ยังต้องเฝ้าระวัง คือ
โรคโควิด 19
โรคไข้หวัดใหญ่
โรค RSV
อย่างไรก็ดี การติดต่อของทั้ง 3 โรคเหมือนกัน คือ การไอ จาม สัมผัสละอองฝอยน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน
คำแนะนำ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อมีอาการป่วยของโรคทางเดินหายใจ หรือเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด ต้องสวมหน้ากากอนามัย ปิดปากและจมูกให้มิดชิดเมื่อไอหรือจาม
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก รวมถึงล้างมือบ่อยๆ เพื่อช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อโรคติดต่อทางเดินหายใจเหล่านี้
นอกจากนี้ขอความร่วมมือผู้ปกครองดูแลสังเกตอาการบุตรหลานที่เป็นเด็กนักเรียน หากเด็กป่วยมีอาการทางเดินหายใจแนะนำให้หยุดพักอยู่บ้านเพื่อดูแลรักษา ติดตามอาการ และไม่ไปแพร่เชื้อต่อที่โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก
ส่วนโรงเรียน ขอให้จัดระบบการคัดกรองอาการทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เพื่อแยกเด็กไม่ปะปนกับเด็กอื่น ๆ และพิจารณาปิดห้องเรียนเมื่อพบเด็กป่วยหลาย ๆ รายติดต่อกัน