นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย กล่าวว่า เตรียมพร้อมจัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 มิถุนายน 2567 โดยการจัดงานในครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 3 มีพื้นที่การจัดแสดง 22,000 ตารางเมตร ผู้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ความงามมากกว่า 1,500 แบรนด์ และคาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 14,000 คน จากนานาประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ไต้หวัน โปรตุเกส มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส จีน ฯลฯ ถือว่าเติบโตขึ้น 78% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมา ที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์ความงาม 1,000 แบรนด์ และมีผู้ร่วมงาน 13,255 คน
โดยงาน Cosmoprof CBE ASEAN เป็นอีเว้นต์ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ให้กับธุรกิจความงามและเครือข่ายให้เติบโตขึ้น ซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ผู้บริโภคส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย ประเทศในกลุ่มอาเซียนและตะวันออกกลางเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีเวทีเสวนาให้ความรู้เชิงลึก จากผู้นำในอุตสาหกรรมความงามซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันถึงการแข่งขันของอุตสาหกรรมความงามเพื่อที่จะสร้างแรงบันดาลใจไปพร้อมกัน
"งานในครั้งนี้ถือว่าเตรียมพร้อมและลุล่วงไปแล้ว 80% มีผู้ประกอบการมากกว่า 10 ประเทศ ที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างครบถ้วน ส่วนผู้ประกอบการไทยก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี"
นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวว่าอุตสาหกรรมความงามไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่งจากประเทศเพื่อนบ้าน สัดส่วนสินค้าไทยที่วางขายมี 40% รวมถึงในตลาดประเทศจีนก็ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งอันดับ 1 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ แบรนด์มิสทีน โดยสินค้าจากประเทศไทยมีการพัฒนาและมาตรฐานที่ดี เหมาะกับสภาพอากาศของพื้นที่แตกต่างจากสินค้าที่ผลิตในยุโรป
ขณะที่ภาพรวมในปีที่ผ่านมาตลาดความงานโตขึ้น 11.6% ด้วยมูลค่า 258,275 ล้านบาท แต่เมื่อดูสัดส่วนการนำเข้าตัวเลขที่ตกลงไปถึง 14% อยู่ที่ 31,380 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนไทยเริ่มเชื่อมั่นสินค้าในประเทศไทยมากขึ้น หรือเกิดจากผลกระทบการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 1,500 ที่ไม่ต้องเสียภาษี ฉะนั้นสินค้าจากจีนจึงบุตลาดไทยอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบตามมา ขณะที่การส่งออก 86,030 ล้านบาท โตขึ้น 4% เมื่อนำทั้งการนำเข้าและส่งออกมารวมกันจะเห็นว่า 40% จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปต่างประเทศ ส่วนใช้อยู่ในประเทศไทย 60% โดย Skin Care ยังได้รับความนิยมสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 ถัดมาคือ Hair Care และ Oral Care
"ในปี 2567 เทรนด์เรื่องความงามที่มาแรงคือความงามจากภายในสู่ภายนอก การกินอาหารเสริมเสริมเพื่อให้ผิวออกมางดงาม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มแร่ธาตุ วิตามิน จุลินทรีย์ต่าง ๆ เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี"
นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ด้านตลาดอาหารเสริมของประเทศไทยปัจจุบันมีอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่อาหารเสริมราคาแพงไปจนราคาถูกมาก แต่จะต้องศึกษาแลดูว่ากลุ่มไหนใช้อย่างไร และได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะตอนนี้ตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้นเนื่องจากความนิยมจำนวนเมาก การแข่งขันสูงทั้งผลิตและจัดจำหน่าย แต่ผู้ผลิตในประเทศไทยมีข้อเสียเปรียบต่างชาติคือ วัตถุดิบมีไม่มาก แม้ต้นน้ำไทยจะมีทรัพยากรแต่ต้องนำไปแปรรูปในจ่างประเทศก่อนส่งกลับมายังประเทศไทย ทำให่ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นเจ้าตลาดได้โดยตรง โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดประมาณ 82,000 ล้านบาท คาดว่าอีก 2 ปี จะเติบโตไปถึง 130,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตแบบก้าวกระโดด
ได้หรือไม่ได้หากนำเข้าจะมีวิตามินต่างๆครบถ้วนหรือไม่หากผลิตเองโรงงานไหนได้มาตรฐานเพราะตอนนี้ตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้นเพราะความนิยมจำนวนมากทำให้มีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเยอะขึ้นมีการผลิตเยอะขึ้นด้วยโดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตในตัววัตถุดิบไม่เยอะในคณะที่ต้นน้ำ ก็มาจากไทยเยอะแต่ข้อเสียเธอไปแปลรูปไปต่างประเทศแล้วค่อยกลับมาในประเทศไทยอีกทีนึงทำให้เรายังก้าวขึ้นสู่การเป็นเจ้าตลาดโดยตรงปัจจุบันประเทศไทยผลิตวัตถุดิบแต่ยังถึงขั้นผลิตเครื่องจักรอาจจะมีข้อดีอยู่ก็คือได้เครื่องจักรมาจากจีนราคาถูกประสิทธิภาพโอเคฉะนั้นอัตราการแข่งขันจึงเติบโตเยอะมาก จากมูลค่า 82,000 ล้านบาทอีกสองปีจะโตไปถึง 130,000 ล้านบาทซึ่งเติบโตแบบค่อนข้างก้าวกระโดด
"โดยเฉลี่ยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในโซนประเทศเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตเยอะที่สุดในตลาดโลก ภูมิภาคของเราเติบโตสูงถึง 93% ถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุดในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก และมูลค่าที่ใช้จ่ายกับอาการเสริมต่อประชากรไทย 1,030 บาทต่อต่อคน เพราะอาหารเสริมถูกใช้มาพอสมควร เช่น วิตามิน น้ำมันมะพร้าว หากมีการแข่งขันและปรับตัวได้จะทำให้ประเทศไทยเป็นเจ้าตลาดได้ เพราะได้รับความน่าเชื่อถือด้านความปราณีตสามารถดึงรายได้เข้าประเทศได้"
ด้าน นายสุนัย วชิรวราการ นายกสมาคมสปาไทย กล่าวว่า เรื่อง Wellness และสปาไทยเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสใจมาก จากตัวเลขภาพรวมของปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นถึง 12% คาดว่าปี 2570 จะเติบโตอีก 52% และเฉพาะในประเทศไทยถือว่าอุตสาหกรรมนี้มีขนาดใหญ่ มาแรง มีศักยภาพสูงและมีความโดดเด่น สามารถแซงหน้าอุตสาหกรรมการผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกายได้ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ "สปา" ยังมีมูลค่าถูกเกินไป หากยกระดับได้จะสามารถสร้างรายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจอสังหาริมทรัย์ที่พัฒนาในด้าน Wellness และ Medical Tourism จะเติบโตขึ้น เช่น การทำบ่อน้ำพุร้อน Mental Wellness สุขภาวะทางจิตใจ และสปา โดยหวังว่าการพัฒนา Wellness Tourism จะเป็นนโยบายที่เข้ามาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และการจัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 จะดึงให้ธุรกิจเติบโต