ข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2566 ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามไทยจะมีมูลค่าประมาณ 7.1 -7.2 หมื่นล้านบาท มีการเติบโต 2.3-3.6% จากปี 2565 โดยทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องหลังโควิดคลี่คลาย ซึ่งพบว่า คนไทยกลับมาใส่ใจและดูแลสุขภาพตนเองมากยิ่งขึ้น ผนวกกับการกลับมาเปิดให้บริการ และการนำเสนอนวัตกรรมด้านความงามจากผู้ประกอบการทั้งรายใหม่และรายเดิม
นายไอแซค จาง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วอนเทค เอเชีย จำกัด ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมธุรกิจ Aesthetics และตลาดความงามไทยมีความหลากหลายและมีโปรดักส์ที่เป็นเครื่องมือค่อนข้างมาก ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศที่มีศักยภาพสูงอันดับแรก คือ ประเทศไทย ตามมาคือประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งวอนเทค ได้เปิดตลาดไว้แล้ว รวมถึง มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแผนงานขยายตลาดใน 3-5 ปี โดยจะเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแพทย์ และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเทรนนิ่งแพทย์ ซึ่งได้พูดคุยกับคลินิกไปจนถึงเชนคลินิกขนาดใหญ่รวมถึงโรงพยาบาลแล้ว 135 แห่ง ทั้งเริ่มทำวิจัยกับสถานศึกษาทางการแพทย์ เช่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยในปีนี้ บริษัทได้จัดตั้ง “วอนเทค เอเชีย” (WONTECH ASIA) สำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจและ Training Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการชูนวัตกรรม โอลิจิโอ้ (Oligio) เครื่องยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ที่ได้รับรางวัล “2024 Korea customer preference index No.1” และ Oligio ผ่านการรับรองจาก FDA (อ.ย.) ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศไทย โดยตั้งเป้าจะมียอดขาย 250 เครื่อง และเครื่อง Pico 50 เครื่อง มูลค่ารวม 250-300 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 25% ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เลเซอร์ Monopolar RF และตั้งเป้ามียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ด้วยกลยุทธ์ การเร่งสร้างเครือข่ายพันธมิตร ควบคู่กับการสื่อสารแบบ 360 องศา
“ประเทศไทยมีศักยภาพสำหรับการเป็นศูนย์กลางการชิปปิ้ง (shipping) ของภาคพื้นเอเชียทั้งหมด มีความสะดวกในด้านการเดินทางจากทุกประเทศในภูมิภาค และวอนเทคได้ศึกษาตลาดในประเทศไทยเชิงลึกมานานกว่า 10 ปี ฉะนั้นจึงพร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้า สร้างการบริการให้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งความก้าวหน้าด้านการแพทย์ของไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง รวมถึงเทรนด์ความงามของไทยและทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับ Skin Quality”
นอกจากนี้วอนเทค ยังมีทั้งเครื่องเลเซอร์ เครื่องรักษาเส้นเลือดขอด เครื่องรักษาต่อมลูกหมาก รวมถึงเครื่องมือในกลุ่มของทางเดินปัสสาวะและการผ่าตัดเส้นเลือดด้วย ปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ มากกว่า 50 เครื่อง และจำหน่ายไปกว่า 45 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา ส่วนสำนักงานแห่งใหม่ในไทย ถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งวอนเทค ได้ให้ความสำคัญกับ Research & Development เป็นหลัก พร้อมทุ่มงบ 70% เพื่อพัฒนานวัตกรรม ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและแพทย์ ส่วนงบ 30% เน้นทำการตลาดสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าตอบโจทย์ตลาดไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะที่เทรนด์ความงามหากอ้างอิงจากประเทศเกาหลีเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ความงามที่ได้รับความนิยมคือ หัตถการที่ดูแลผิวและการรักษาหลุมสิว ที่ทิ้งร่องรอยและมีระยะเวลาในการรักษา แต่ปัจจุบันคือการทำหัตถการแบบธรรมชาติ เช่น การทำ Hifu หรือ Ulthera ยกกระชับผิว ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ให้ความสวยแบบเป็นธรรมชาติ และในกลุ่มเลเซอร์แบบไม่เจ็บ ส่วนในประเทศไทยวอนเทค จะโฟกัสที่การยกกระชับผิวเช่นกัน และมีตระกูลเลเซอร์ รวมถึงเครื่องมือที่สามารถทำเองที่บ้านได้ เช่น การยกกระชับหน้าหรือการปลูกผม ทั้งหมดเป็นโปรดักส์พรีเมี่ยม แต่จุดประสงค์คือต้องการให้ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงโปรดักส์เหล่านี้ได้
ด้าน พญ.อณัฏฐ์ชา อัศดามงคล Medical Director and CEO Minerva Clinic บริษัท ลักซ์ เมดิกรุ๊ป จำกัด ผู้บริหาร “Minerva Clinic” กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจคลินิกความงามของไทยในปีที่ผ่านมาเติบโตดี แนวโน้มผู้ที่มาใช้บริการด้านความงามอายุน้อยลง จากเดิมที่ส่วนใหญ่ผู้ที่มาใช้บริการโบท็อกซ์มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันพบว่าอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ปี โดยบริการที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรกได้แก่ 1. Botox Filler ฉีดปรับรูปหน้า 2. ยกกระชับหน้า และ Laser หน้าขาวใส กระชับรูขุมขน 3. การทำ detox ทำผิวขาวใสและฉีดสลายไขมันกระชับรูปร่าง
ปัจจุบันลูกค้ามีทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นที่รู้จักจากการบอกต่อของลูกค้าที่มาใช้บริการ ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม walk in ทั้งชาวสิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น ซึ่งนิยมมาใช้บริการ botox filler โดยจำนวนลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นเท่ากับช่วงเวลาก่อนการระบาดโควิดแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 30% และคนไทย 70%
“การแข่งขันของธุรกิจคลินิกความงามมีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยพบว่า มีคลินิกความงามเปิดให้บริการจำนวนมากโดยเฉพาะคลินิกตามอาคารพาณิชย์ ทำให้เกิดการตัดราคา โดยพบว่า ราคาถูกกว่าคลินิกทั่วไปที่ได้มาตรฐานราว 50-100% ขณะที่คลินิกบางแห่งเลือกลงทุนกับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์โดยใช้พรีเซนเตอร์ทำให้ค่าการตลาดสูง ราคาจึงสูงตามไปด้วย ซึ่งผลลัพธ์อาจจะได้มาตรฐานหรือไม่ ต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ”
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MESTER ผู้บริหาร “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมแพทย์ความงามยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะยิ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาไปไกลมากขึ้น ก็ยิ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของการใช้บริการธุรกิจประเภทนี้ตามไปด้วย หากวิเคราะห์จากข้อมูลนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศไทยหลังจากเปิดประเทศ รวมไปถึงพฤดิกรรมของคนไทยที่ชื่นชอบความสวยความงาม พบว่า เทรนด์ความงาม ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้เห็นถึงโอกาสการเติบโตในธุรกิจนี้อย่างชัดเจน
โดย 4 อันดับศัลยกรรมที่คนนิยมมาใช้บริการมากสุดในโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ได้แก่ 1. ศัลยกรรมจมูก 2. ยกคิ้วดึงหน้า 3. ศัลยกรรมหน้าอก และ 4. การดูดไขมัน โดยในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช จะมุ่งเน้นไปที่การเป็น Specialty Hospital มากขึ้นภายใน 3 ปีนับจากนี้