กระแดดนั้นโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อร่างกายในระยะยาว แต่หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระ อาจจะต้องแยกโรคจากโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น Pigmented basal cell carcinoma หรือ Lentiginous melanoma เป็นต้น โดยการแยกโรคนั้นจำเป็นจะต้องทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
จากแสงคลื่นช่วงแสง Ultraviolet และ ช่วงแสงความร้อน ส่งผลทำให้เซลล์เม็ดสีเมลานินที่อยู่ในผิวหนังชั้นบนเกิดการขยายตัวมีขนาดใหญ่มากขึ้น และมีสีเข้มขึ้น ทำให้รอยโรคมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัด ลักษณะเป็นวงรี อาจมีขนาดใหญ่ถึง 6 เซนติเมตร
ซึ่งพบได้บ่อยที่บริเวณใบหน้า ไหล่ แขน และหลังมือ ในรายที่มีประวัติเจอแสงแดดมาเป็นเวลานานๆ หรือเป็นโรคแพ้แสงบางชนิด สำหรับการรักษากระแดดนั้นมีวิธีการรักษา ดังนี้ 1.การรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่ (Topical therapy) กลุ่มยาทาลดรอยดำ เช่น hydroquinone, tretinoin, adaptable สามารถลดรอยดำได้ รวมถึงการใช้กรดลอกผิว เช่น Trichloroacetic acid (TCA) ในความเข้มข้นที่ต่างๆกัน ซึ่งมีฤทธิ์ในการลอกผิวหนังชั้นบน พบว่าได้ผลดีในการรักษากระแดดรวมถึงรอยโรคจากแสงแดดชนิดอื่นๆ
2.การรักษาด้วย Physical Therapy เช่น การใช้ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen), เลเซอร์เม็ดสี กลุ่ม Q-switched Nd:YAG laser, Q-switched Ruby laser, Q-switch Alexandrite laser โดยการใช้ไอเย็น และเลเซอร์รักษานั้นอาจต้องทำหลายครั้ง แต่ละครั้งจะมีแผลที่ตกสะเก็ด หากเจอแสงแดดและดูแลแผลไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดรอยดำมากขึ้นหรือทำให้เกิดรอยขาวได้
การรักษาส่วนใหญ่จะสามารถทำให้รอยโรคจางลงหรือหายไปได้ชั่วคราว และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ค่อนข้างบ่อย แต่ส่วนใหญ่จะมีสีที่จางลงมากกว่าก่อนการรักษา หากได้รับการรักษาและการดูแลแผลหลังการรักษาที่ถูกต้อง ดังนั้นก่อนทำการรักษา ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสม