นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล แกนนำเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากเกิดกรณีเรียกร้องดึง "กัญชา" กลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 ที่มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนั้น ล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ใช้กฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพื่อควบคุมการบังคับใช้กัญชาให้ใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ วิจัยและเศรษฐกิจเท่านั้น ถือเป็นเรื่องดีเพราะจะสามารถควบคุมในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับกัญชาได้มากกว่าการทำให้เป็นยาเสพติด โดยควบคุมข้อเสียไว้และนำข้อดีมาใช้ได้
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ทุกฝ่ายจึงต้องหันมาสนใจร่าง พ.ร.บ.ซึ่งมีอยู่ 4 ฉบับที่จะต้องดำเนินการต่อไป
โดยกระบวนการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จะทำให้ทุกฝ่ายถกเถียงกันได้ว่ามาตรการหรือข้อวิตกกังวลต่าง ๆ มีอะไรบ้าง แต่ละประเด็นจะควบคุมอย่างไร ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เกิดการผูกขาดในด้านต่างๆ และกระแสในโลกออนไลน์ที่ร่วมกันเคลื่อนไหวคัดค้านนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด โดยเฉพาะผู้ประกอบการก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นในการลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวกันกัญชา
"ในกลุ่มผู้ประกอบการด้วยกันเริ่มสัญญาณที่ดี เตรียมลงแปลงปลูกเพิ่ม เพราะมีความเชื่อมมั่นและรู้สึกว่าธุรกิจน่าจะไปต่อได้ แม้จะต้องรอดูกฏหมายที่แน่ชัดอีกครั้งในอนาคต ซึ่งการประกาศให้นำ พ.ร.บ.มาควบคุมคือหลักประกันอย่างหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างเสมอภาคกัน"
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า สำหรับฝ่ายผู้คัดค้านและยืนยันให้นำกัญชากลับเข้าสู่ยาเสพติด เพราะกังวลผลกระทบต่างๆ ก็ต้องเข้ามาสู่กระบวนการเขียนกฎหมายควบคุมร่วมกัน เพราะสามารถเสริมเข้ามาในร่าง พ.ร.บ.ได้ ทั้งยังช่วยให้กฏหมายคลอบคลุมหลากหลายมิติ และหากเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ได้ จะเป็นหลักประกันว่ากัญชาจะถูกควบคุมเป็นปกติ ทั้งผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการแปรรูปกัญชา จะฟื้นตัวกลับมาดำเนินธุรกิจได้เหมือนเดิม หลายคนจะมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
"ผมว่าสถานการณ์นี้น่าสนใจมาตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา การถกเถียงกันเรื่องกัญญชาน่าจะสิ้นสุดลงในรัฐบาลชุดนี้และตกผลึกได้ บรรยากาศของธุรกิจกัญชาในทุกมิติจะฟื้นตัวขึ้นดีกว่าเดิม โดยกลไกการเสนอ พ.ร.บ. หากไม่ติดขัดเรื่องการเมือง 4 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ เพราะเนื้อหาสาระเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แตกต่างแค่บางประเด็นเท่านั้น"