นพ.กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล รองประธานคณะกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน)(PRINC) กล่าวว่า นับจากปี 2560-2567 PRINC ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและบริการด้านการแพทย์ สร้างรายได้เกือบ 90% และมีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนสร้างโรงพยาบาลและเข้าซื้อโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ด้วยอัตราส่วน 50:50
ในขณะที่บริหารอสังหาริมทรัพย์ 3 แห่ง ได้แก่ อาคารบางกอก บิสซิเนส เซ็นเตอร์ (BBC), โรงแรม Marriott และ Somerset Serviced Residence มีสัดส่วนรายได้ราว 10%
ปัจจุบัน PRINC บริหารโรงพยาบาล 15 แห่ง และได้ทำสัญญาซื้อเพิ่มแล้ว 3 แห่งภายในปีนี้ ด้วยงบลงทุนกว่า 700 ล้านบาท ประกอบด้วยโรงพยาบาลเชียงใหม่ ฮอสพิทอล 50 เตียง, โรงพยาบาลราชสีมา ฮอสพิทอล 35 เตียงและโรงพยาบาลพิษณุโลก ฮอสพิทอล 60 เตียง ส่งผลให้มีโรงพยาบาลรวม 18 แห่ง ใน 14 จังหวัด กระจายตัวอยู่ในเชียงใหม่ พิษณุโลก ลำพูน อุตรดิตถ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยทานี สกลนคร มุกดาหาร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ นครราชสีมา สมุทรปราการ และชุมพร
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจการแพทย์ที่ PRINC เข้าไปลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์ ได้แก่ เนอร์สซิ่งโฮม คลินิกชุมชน ศูนย์ความงาม (Aesthetics) ฯลฯ เป็นการถือหุ้นส่วนหนึ่งโดยให้เจ้าของธุรกิจนั้นยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อ หากเติบโตภายใน 4-5 ปี ก็มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไป
"เราจะเน้นลงทุนเรื่องโรงพยาบาลและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปยังความชำนาญเฉพาะทางของการรักษาโรคยาก เช่น การตั้งศูนย์มะเร็ง ศูนย์หัวใจ ศูนย์ผู้มีบุตรยาก กระดูกและข้อ ส่วนด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจะจำหน่ายออกไปเพื่อมุ่งหน้าทำธุรกิจเฮลท์แคร์ 100% เพราะด้านอสังหาฯ เป็นธุรกิจที่ PRINC ไม่ถนัด
อย่างไรก็ดี แม้รายได้ส่วนนี้หายไปแต่ก็จะถูกทดแทนด้วยรายได้จากธุรกิจเฮลท์แคร์ ที่กำลังเติบโตขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีแนวโน้มเติบ 10-15% เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้"
นพ.กฤตวิทย์ กล่าวอีกว่า อสังหาฯ ทั้ง 3 แห่ง ซึ่งเป็นอาคาร สำนักงาน และโรงแรม ถูกจำหน่ายออกไปรวมมูลค่า 5,942 ล้านบาท คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ PRINC ลดภาระดอกเบี้ยลงได้ และนำส่วนหนึ่งมาลงทุนต่อไป
โดยช่วงไตรมาส 1/2567 โรงพยาบาลเครือ PRINC มีจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการเติบโต 20-30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายต่อบิลใกล้เคียงกัน และกลุ่มผู้มาใช้บริการจะอยู่ในระดับกลาง จากพนักงานบริษัทที่ทำสัญญาไว้ประมาณ 20% หน่วยภาครัฐ 5% ประกันเอกชน 35% และชำระด้วยตัวเอง 40%
ขณะที่ไตรมาส 2/2567 ถือว่าดี ส่วนในไตรมาส 3/2567 และไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเริ่มเห็นดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงและเห็นการเติบโตจากรายได้และกำไรอย่างมีนัยสำคัญ
"เศรษฐกิจทั่วโลกตอนนี้ถือว่ายังไม่สดใสมากนัก เพราะต่างได้รับผลกระทบจากสงครามกันถ้วนหน้า แนวโน้มของธุรกิจที่จะเติบโตและเป็นไปได้มากที่สุดคือเรื่องสุขภาพและการแพทย์ ทุกคนต่างพูดถึง Healthcare และ Wellness แม้การสร้างและซื้อโรงพยาบาลของ PRINC รวมถึงด้านการตลาดจะค่อนข้างใช้เวลา
แต่การลงทุนขยายธุรกิจจะตามมาด้วยผลผลิตที่รอการเก็บเกี่ยว และธุรกิจโรงพยาบาลของ PRINC ในขณะนี้เกือบ 50% สามารถสร้างกำไรได้แล้ว ซึ่งในปี 2568 น่าจะเห็นกำไรได้อย่างชัดเจน รวมทั้งเห็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย"
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน ยังตอบสนองด้านความสะดวกได้ดี มีบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอที่สามารถรักษาโรคยากที่ซับซ้อนได้ และช่องว่างการให้บริการในจังหวัดต่างๆ ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และ PRINC จะเน้นการทำตลาดในพื้นที่ที่ต้องการแพทย์เฉพาะทางสูงขึ้น ทั้งยังรองรับลูกค้าชาวต่างชาติจาก สปป.ลาว กัมพูชาได้ เช่น มุกดาหาร อุบลราชธานี ขณะที่ภาพรวมกว่า 90% ยังคงเป็นผู้ใช้บริการคนไทย