ระวัง “ผื่นแมลง” ต้นเหตุรอยดำ จากแผลอักเสบถึงชั้นผิวหนังแท้

06 ก.ย. 2567 | 22:10 น.

กรมการแพทย์ เตือนให้ระวัง “โรคผื่นแพ้แมลงกัด” จากตุ่มแดงจะหายได้เองในเวลา 5 – 10 วัน แต่ในบางรายอาจเกิดพยาธิสภาพ หรือเซลล์อักเสบลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ เมื่อหายแผลหายแล้วจะเกิดรอยดำ

นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ‘แมลง’ เป็นสัตว์ที่กระจายตัวอยูามากที่สุดในโลกใบนี้ คงเป็นไปได้ยากมาก ๆ ที่ในชีวิตของคนเราจะไม่เคยโดนแมลงกัดเลย ซึ่งแมลงมีอยู่จำนวนมากหลากหลายสายพันธุ์ ไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดว่าแมลงชนิดไหนเป็นอัตรายและไม่อันตราย เพราะแมลงบางชนิดสามารถปล่อยสารทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ หรืออาจรุนแรงไปขึ้นขั้นเซลล์อักเสบ

เช่น แมลงสังคมอย่าง มดและผึ้ง เป็นตัวอย่างที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดของสัตว์สังคม โเยมัดจะอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ สามารถพบได้ทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร บ้านเรือน สวนสาธารณะ หรือป่าเขา 

วิธีป้องกันแมลงกัด

นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า การป้องกันอัตรายจากแมลงนั้นสามารถทำได้หลายทาง คือควรสวมใส่เสื้อแขนขายาว รวมทั้งใช้ครีม หรือสเปรย์ เพื่อป้องกันแมลงกัด

ระวัง “ผื่นแมลง” ต้นเหตุรอยดำ จากแผลอักเสบถึงชั้นผิวหนังแท้

บางรายหากโดนแมลงกัดแล้วอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพตามมา ชิ้นเนื้อที่บริเวณแมลงกัดมักจะเป็นเนื้อตายที่บริเวณผิวหนังชั้นบน จึงทำให้ผื่นมีลักษณะจุดดำๆ ตรงกลางและเซลล์อักเสบ โรคในกลุ่มนี้มักจะลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ เลยทำให้รอยโรคเหล่านี้เมื่อหายแล้วเกิดเป็นรอยดำตามมา

แนวทางการรักษา

ด้าน นายแพทย์ทนงเกียรติ เทียนถาวร นายแพทย์เชี่ยวชาญ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ขณะที่ลักษณะรอยโรคของผื่นเป็นตุ่มแดง ขนาด 2- 8 มิลลิเมตรเป็นกลุ่ม ๆ หรือกระจายทั่วตัว มีอาการคัน ปกติแล้วหายได้เองในระยะเวลา 5-10 วัน บางรายอาการหนักคล้ายลมพิษ เรียกว่า papular urticaria มักจะเจอได้บ่อยในคนไข้ที่มีโรคประจําตัว ในกลุ่มภูมิแพ้ร่วมด้วย ในรายที่มีอาการมากอาจต้องได้รับการรักษา ซึ่งผื่นแมลงกัดนั้น ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากการอักเสบใต้ผิวหนัง การรักษาส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การรักษาตามอาการลดอาการคัน หรือในตุ่มที่มีการอักเสบ ให้ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ 

ในรายที่เป็นมากอาจได้รับยากินกลุ่มสเตียรอยด์ร่วมด้วยได้ หากไม่ได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ การเกามากๆ ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนในชั้นผิวหนังแท้ได้ ซึ่งการรักษาต้องให้ยาทา และยากิน กลุ่มยาฆ่าเชื้อ Antibiotic ร่วมด้วย โดยการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อจะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง