จากนโยบายรัฐบาลที่ได้ประกาศ Kick Off 30 บาทรักษาทุกที่ เพิ่มอีก 31 จังหวัดจะเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายครอบคลุมทั่วประเทศ ล่าสุดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดประชุมชี้แจงแนวทางการเบิกจ่ายตามนโยบายให้กับหน่วยบริการต่าง ๆ ในระบบ รวมถึงหน่วยบริการและหน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภทที่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. พร้อมหน่วยบริการทุกระดับในระบบทั้งหมดทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
สำหรับ 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นนโยบายสำคัญด้านสุขภาพของรัฐบาลที่มีแผนดำเนินการเป็น 4 ระยะ โดยเมื่อวันที่ 7 ม.ค.2567 เป็นการ Kick Off ระยะที่ 1 ใน 4 จังหวัดนำร่องก่อน คือ แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี และนราธิวาส ก่อนขยายเพิ่มเติมอีก 3 ระยะและจะครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในวันที่ 1 ม.ค. นี้
ทั้งนี้ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนของ สปสช. ตามนโยบายฯของรัฐบาลว่า สปสช.กำหนดเป้าหมายการดำเนินการ คือ
1.การเพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการรับบริการ โดยประชาชนสามารถใช้สิทธิรับบริการใกล้บ้านได้
2.หน่วยบริการได้รับการสนับสนุนงบประมาณ และการจ่ายชดเชยค่าบริการเร็วขึ้น
3. การตรวจสอบก่อนจ่าย สปสช. ได้นำใช้ระบบ AI มาช่วยดำเนินการเพื่อให้มีความถูกต้องและรวดเร็วขึ้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ต้องมีการบูรณาการระบบข้อมูล มี Standard data set การเชื่อมต่อข้อมูลทุกระบบมีความคล่องแคล่ว โดยที่หน่วยบริการเองจะต้องส่งข้อมูลบริการ ข้อมูลการเบิกจ่ายที่รวดเร็ว ถูกต้องและครบถ้วนด้วย
ที่ผ่านมา สปสช. ได้ชี้แจงทั้งหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขฯ นอกจากนี้ได้ออกประกาศสำนักงานฯ เรื่อง จังหวัดที่ดำเนินงานตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 โดยเพิ่มเติมรายชื่อ 31 จังหวัดครอบคลุมทั้งประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยงบประมาณที่ใช้สำหรับหน่วยบริการเดิมในระบบ และหน่วยบริการนวัตกรรมมีการจัดสรรที่แยกกัน ไม่กระทบกัน
รวมทั้งมีประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องมาตรการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ พ.ศ. 2567 รองรับ ทั้งยังได้ชี้แจงการตรวจสอบก่อนจ่ายชดเชย การบันทึกข้อมูลจ่ายชดเชย ระบบ E-Claim การตรวจสอบยอดจ่ายชดเชยและกรณีที่ไม่ผ่าน รวมไปถึงการอุทธรณ์กรณีไม่ผ่าน ตลอดจนช่องทางการติดต่อการเบิกจ่ายต่าง ๆ
ทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการและการให้บริการของหน่วยบริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ สปสช. ได้เพิ่มคู่สาย สายด่วน สปสช. 1330 ให้บริการประชาชนทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงโดยประชาชนสามารถสอบถามบริการ แจ้งปัญหา ขอรับการช่วยเหลือ ช่วยนัดหมายบริการ นัดคิว นัดแพทย์ออนไลน์ ยืนยันตัวตน รับบริการร้านยาใกล้บ้าน บริการเจาะเลือดที่บ้าน บริการกายภาพบำบัด หรือการพยาบาลที่คลินิกใกล้บ้าน หรือบริการระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) โดยระบบตรวจสอบเชื่อมเข้าระบบ สปสช. ทันที
พร้อมเพิ่มอาสาสมัคร เช่น พยาบาลเกษียณ คนพิการ ร่วมให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน สปสช. 1330 นอกจากนี้ยังได้จัดเจ้าหน้าที่เพื่อตอบกลับในช่องทางสื่อสารอื่นๆ เช่น Line @NHSO , Traffy Fondue, FB และ Tiktok เป็นต้น
จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2567 มีหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบฯ แล้วจำนวน 13,004 แห่ง ในจำนวนนี้แยกเป็น
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มนโยบายมีประชาชนเข้ารับบริการแล้วจำนวน 7,041,278 คน เป็นจำนวนบริการ 16,595,592 ครั้ง