เมื่อ ‘ความเหมือนไม่พอ’ ของหุ่นยนต์เสมือน กลับทำให้มนุษย์กลัว

28 มิ.ย. 2565 | 01:57 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มิ.ย. 2565 | 10:10 น.

เครื่องจักรไอน้ำเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ในช่วงแรกมีข้อจำกัด ตรงที่เครื่องจักรจำเป็นต้องอยู่ใกล้แม่น้ำ จนกระทั่งมีการพัฒนาระบบโรตารี่ทำให้สามารถสร้างโรงงานที่ใดก็ได้

ดร. ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ ([email protected]) อดีตนายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) กล่าวว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง เกิดขึ้นเมื่อมีการนำกระแสไฟฟ้ามาใช้ขับเคลื่อนระบบสายพานทำให้สามารถผลิตซ้ำจำนวนมาก (Mass Production) การนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ก่อให้เกิดกระแสหวาดกลัวว่าจะมาทำงานแทนมนุษย์ 

 

ทำให้ในปี ค.ศ. 1811 ชาวอังกฤษเจ้าของกิจการทอผ้าขนาดเล็กในเมืองน็อตติงแฮมได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ลุดไดท์ (Luddites) ก่อหวอดประท้วง และเข้าทำลายเครื่องจักรในโรงงานสิ่งทอ เพราะเชื่อว่าคือต้นเหตุที่การทอผ้าในครัวเรือนที่ใช้ทักษะต้องปิดกิจการลง การต่อต้านกระจายไปทั่วประเทศยาวนานถึง 5 ปี นำไปสู่การจับกุมลงโทษผู้ประท้วงจำนวนมาก 

เครื่องจักรไอน้ำเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ในช่วงแรกมีข้อจำกัด ตรงที่เครื่องจักรจำเป็นต้องอยู่ใกล้แม่น้ำ จนกระทั่งมีการพัฒนาระบบโรตารี่ทำให้สามารถสร้างโรงงานที่ใดก็ได้ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง เกิดขึ้นเมื่อมีการนำกระแสไฟฟ้ามาใช้ขับเคลื่อนระบบสายพานทำให้สามารถผลิตซ้ำจำนวนมาก (Mass Production) การนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ก่อให้เกิดกระแสหวาดกลัวว่าจะมาทำงานแทนมนุษย์ 

 

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 เกิดจากการมาถึงของยุคดิจิทัลทำให้เทคโนโลยีถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หุ่นยนต์และระบบออโตเมชันถูกใช้ในกระบวนการผลิตอย่างแพร่หลาย ศักยภาพของหุ่นยนต์เหมาะกับการทำงานเฉพาะทาง ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดที่เน้นการผลิตจำนวนมาก เพื่อสนองตอบความต้องการของแต่ละบุคคล (Mass Customization) มากกว่าการผลิตซ้ำ (Mass Production) เช่นเดียวกับเครื่องจักรกล 

หลายคนเชื่อว่าหุ่นยนต์กำลังเข้ามาแย่งงานมนุษย์ งานวิจัยของ อ็อกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ พบว่างานในภาคการผลิตทั่วโลกถึง 20 ล้านตำแหน่ง อาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในปี ค.ศ. 2030 อย่างไรก็ตาม ฮาน โมราเวค นักวิทยาการหุ่นยนต์ชาวออสเตรีย เจ้าของทฤษฎีความย้อนแย้งโมราเวค (Moravec’s Paradox) ช่วยลดทอนความกังวลดังกล่าวโดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์สามารถทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เช่น ทำงานเฉพาะทางที่สลับซับซ้อน หรือแก้ไขปัญหาเชิงตรรกะที่ยุ่งยากและคณิตศาสตร์ขั้นสูง แต่ในส่วนของทักษะที่เรียบง่ายที่มนุษย์ทำกันเป็นประจำ เช่น การสนทนา หรือการแสดงออกทางอารมณ์ กลับเป็นเรื่องยากของหุ่นยนต์ งานใดที่ต้องทำซ้ำ ๆ จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกหุ่นยนต์แทนที่ แต่งานที่ต้องใช้ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ หรือการเข้าสังคมสร้างสัมพันธ์ ยังคงต้องใช้มนุษย์ในการทำงานต่อไป 

 

จนถึงทุกวันนี้ หุ่นยนต์ยังไม่พัฒนาถึงขั้นผ่านการทดสอบของทัวริง (Turing Test) ที่ใช้วัดความสามารถของระบบปัญญาประดิษฐ์ว่า มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์หรือไม่ ผ่านการวิเคราะห์บทสนทนาโต้ตอบระหว่างกัน หากไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสมองกล หรือมนุษย์ จะถือว่าผ่านการทดสอบของทัวริง  ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีระบบสมองกลใดผ่านการทดสอบนี้ เพียงแต่ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเวนที ประเทศอังกฤษ พบว่าระบบปัญญาประดิษฐ์เลือกที่จะหยุดโต้ตอบ เมื่อพบว่ากำลังถูกทดสอบ 

 

นอกจากกลัวว่าจะถูกแย่งงานแล้ว หุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ เช่น ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid) หรือหุ่นยนต์ที่เลียนแบบการแสดงออกของมนุษย์  เช่น แอนดรอยด์ (Android) ยังทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ 

 

งานวิจัยของมาซาฮิโระโมริ นักวิทยาการหุ่นยนต์ชาวญี่ปุ่น เรียกอาการนี้ว่า ‘หุบเขาประหลาด (Uncanny Valley)’ ซึ่งเป็นการตอบสนองทางอารมณ์ของมนุษย์ที่มีต่อระดับความเสมือนจริงของหุ่นยนต์ มาซาฮิโระได้อธิบายปรากฎการณ์นี้ในรูปกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างของหุ่นยนต์ที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ (แกน Y) และความรู้สึกของมนุษย์ที่มีต่อหุ่นยนต์ (แกน X) เริ่มต้นจากแขนกลที่มนุษย์มองว่าเป็นแค่อุปกรณ์ในการทำงานไม่รู้สึกกังวล ความสัมพันธ์แบบแปรผันตรงจะคงอยู่ในช่วงหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดที่ความเหมือนของหุ่นยนต์ทั้งรูปร่างหน้าตาและการเคลื่อนไหวคล้ายมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ กราฟแสดงความรู้สึกคุ้นเคยจะตกลงอย่างรวดเร็วเสมือนเป็นเหวลึกหรือหุบเขา (Valley) กลายเป็นความกลัวไม่อยากเข้าใกล้ 

เมื่อ ‘ความเหมือนไม่พอ’ ของหุ่นยนต์เสมือน กลับทำให้มนุษย์กลัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ่นยนต์มีความเหมือนมนุษย์เพิ่มขึ้นถึงระดับเกือบ 100% เหลือเพียงความรู้สึกทางอารมณ์เท่านั้นที่ทำให้แตกต่างจากมนุษย์ ความรู้สึกกลัวจะหายไป และกราฟแสดงความคุ้นเคยจะกลับมาเพิ่มขึ้นเช่นเดิม มาซาฮิโระยังชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่ว่าหุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์เกินไปที่จะทำให้เรากลัว แต่เป็นหุ่นที่ ‘เหมือน’ แต่ ‘เหมือนไม่พอ’ ต่างหากที่ทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว 

 

‘Uncanny Valley’ อาจจะพัฒนาไปเป็นโรคกลัวหุ่นยนต์ (Robophobia) เช่น ความเป็นปฏิปักษ์ต่อหุ่นยนต์ของกลุ่มนีโอลุดไดท์ (Neo-Luddites) ​แม้ยังไม่ได้ก่อความวุ่นวายแต่ก็ปรากฏการต่อต้านในรูป​นิยายวิทยาศาสตร์ ภาพยนต์ ​มิวสิก​วีดิ​โอ และเกม โจนาธาน แกร็ทช์ ผู้อำนวยการด้านการวิจัยหุ่นยนต์ มหาวิทยาลัยเซาธ์เทิร์น เเคลิฟอร์เนีย เชื่อว่าอาการดังกล่าวเป็นปฏิกริยาทางชีววิทยาผ่านสัญชาตญาณของมนุษย์ เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติไม่เหมือนจริงบางอย่างของหุ่นยนต์ ยิ่งเราพยายามพัฒนาความสามารถของหุ่นยนต์ให้เหมือนคนจริงมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งจับผิดหุ่นยนต์ เเละยิ่งสร้างความรู้สึกทางลบมากขึ้นเท่านั้น 

 

รวมทั้งความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวบนโลกที่ฉลาดที่สุด ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกกลัวว่าความเป็นมนุษย์กำลังถูกคุกคาม ความคิดเช่นนี้ได้ถูกตอกย้ำจากบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น สตีฟ วอ​สเนี​ยก ผู้​ร่วม​ก่อตั้งบริษัท​แอปเปิล เคยกล่าวไว้ว่า​​สักวันหนึ่งมนุษย์อาจจะ​กลาย​เป็น​สัตว์​เลี้ยง​ของหุ่นยนต์ ​แม้แต่ ส​ตี​เฟน ฮอว์คิง และ​อี​ลอน มัส​ค์ ก็เคย​ออก​มา​เตือน​ถึง​อันตราย​ของ​การ​พัฒนา​ด้าน​จักร​กล​อัจฉริยะ​ที่​ไป​ไกล​​จนกลาย​เป็นหุ่นยนต์​ที่​​ถูก​ตั้ง​โปรแกรม​ให้​รับ​รู้​และ​มี​ความ​สามารถ​พัฒนา​ตน​เอง​โดยไม่ต้องพึ่งพา​มนุษย์อีกต่อไป 

 

หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์กำลังพัฒนาไปเร็วมากจนแทบจะมีความคิดเป็นของตนเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่แน่ใจว่า มีพื้นที่มั่นคงปลอดภัยเพียงพอในการควบคุมความก้าวหน้าดังกล่าว ความกลัวหุ่นยนต์ก็ยังเป็นสิ่งที่มีเหตุผล เพราะเป็นเสมือนสัญญาณย้ำเตือน ถึงการมีอยู่ของความเปราะบางทางจิตใจของมนุษย์นั่นเอง