สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT กางปฏิทินกิจกรรมทางดาราศาสตร์ ทางช้างเผือก เป็นวัตถุท้องฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อมองจากโลก มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นแถบสว่างพาดเป็นแนวยาวกลางฟ้า ตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้
บริเวณที่สวยงามที่สุด คือ บริเวณใจกลางทางช้างเผือก (Galactic Center) เป็นส่วนที่สว่างที่สุดของทางช้างเผือก จะมีลักษณะเป็นแนวฝุ่นหนาทึบ เห็นได้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย วัตถุท้องฟ้ามากมาย อาทิ ดาวฤกษ์ กระจุกดาว เนบิวลา เป็นต้น
แนวใจกลางทางช้างเผือกอยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องและกลุ่มดาวคนยิงธนู ปรากฏบนท้องฟ้าในตำแหน่งที่เฉียงไปทางใต้ และเนื่องจากใจกลางทางช้างเผือกอยู่ในบริเวณกลุ่มดาวทางซีกฟ้าใต้ ทางตอนใต้ของไทยจึงมองเห็นแนวใจกลางทางช้างเผือกอยู่สูงจากขอบฟ้ามากกว่าภูมิภาคอื่น ชาวใต้จึงมีโอกาสสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจนมาก
ในหนึ่งปีจะมีช่วงเวลาที่สามารถสังเกตเห็นแนวใจกลางทางช้างเผือกได้ไม่ครบทุกเดือน เนื่องจากช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในบริเวณใจกลางทางช้างเผือก ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นใจกลางทางช้างเผือกได้
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถือเป็นช่วงเปิดฤดูกาล ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ตั้งแต่วันที่ 20 - 22 กุมภาพันธ์ 2567 ในช่วงรุ่งเช้า แนวใจกลางทางช้างเผือก จะเริ่มปรากฏบริเวณขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ขนานกับเส้นขอบฟ้า สังเกตได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 04.00 น. จนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
อีกช่วงคือ 8 - 22 มีนาคม 2567 (หลังจากนั้นจะมีแสงสว่างจากดวงจันทร์รบกวน) ตำแหน่งใจกลางทางช้างเผือกจะอยู่ขนานกับขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00 น. จนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หมายความว่า จะมีเวลาให้เราเก็บภาพทางช้างเผือกประมาณไม่เกิน 3 ชั่วโมง
ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ถือเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลออกล่าทางช้างเผือกยามเช้า และนอกจากใจกลางทางช้างเผือกที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้วยังมีดาวเคราะห์ให้ชมอีก 2 ดวง ได้แก่ ดาวอังคาร และดาวศุกร์ ปรากฏในช่วงรุ่งเช้าทางทิศตะวันออกอีกด้วย
ช่วงปลายเมษายน แนวใจกลางทางช้างเผือกจะค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางเป็นแนวพาดบริเวณกลางฟ้า ช่วงนี้จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป สามารถชื่นชมความสวยงามและบันทึกภาพทางช้างเผือกได้ยาวนานขึ้น
ช่วงเวลาที่ทางช้างเผือกปรากฏบนท้องฟ้าสวยงามที่สุด คือ ปลายเมษายน-ต้นตุลาคม จะสังเกตเห็นใจกลางทางช้างเผือกบริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนูได้ง่าย
ทางช้างเผือกบริเวณนี้จะสว่างและสวยงามกว่าบริเวณอื่น ๆ และอยู่ในตำแหน่งกลางท้องฟ้าเกือบตลอดทั้งคืน แต่เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นช่วงฤดูฝน จึงมักมีอุปสรรคเรื่องเมฆและฝนตก หากท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆฝนก็จะถือเป็นโอกาสดีที่สุดของการถ่ายภาพทางช้างเผือกในรอบปี
หลังจากนั้นในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อุปสรรคเรื่องเมฆฝนจะเริ่มน้อยลง ทางช้างเผือกจะปรากฏและสังเกตเห็นได้ในช่วงหัวค่ำ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ปกติแล้วเราสามารถสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้เกือบตลอดทั้งปี แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ คือ สภาพท้องฟ้า หากท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีทัศนวิสัยของท้องฟ้าดี ไม่มีแสงรบกวนทั้งแสงจากดวงจันทร์ แสงไฟจากเมืองก็จะสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจนแต่คนในเมืองส่วนใหญ่มักไม่มีโอกาสได้ชมทางช้างเผือก
เนื่องจากตัวเมืองมีแสงไฟ ฝุ่นละอองและควัน เป็นจำนวนมาก ทัศนวิสัยของฟ้าในเขตเมืองจึงไม่เอื้อต่อการสังเกตเห็นทางช้างเผือก หากต้องการสัมผัสทางช้างเผือกอาจจะต้องเดินทางต้องไปยังสถานที่ที่ห่างจากตัวเมืองอย่างน้อยประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อหลีกหนีจากมลภาวะทางแสงและฝุ่นละอองต่างๆ
ควรหาสถานที่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้เล็กน้อย เป็นพื้นที่มืดสนิทไม่มีแสงรบกวน ตั้งกล้องโดยหันหน้ากล้องไปที่ใจกลางทางช้างเผือก ช่วงเวลาตั้งแต่ 04.00 น. จนถึงรุ่งเช้า บริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนู
เลือกใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อให้ได้องศาการรับภาพที่กว้าง ปรับระยะโฟกัสของเลนส์ที่ระยะอนันต์ ใช้รูรับแสง ที่กว้างที่สุด พร้อมตั้งค่าความไวแสงตั้งแต่ 3200 ขึ้นไป
ลองนำเทคนิคดังกล่าวไปปรับใช้กันดูครับ ใช้ได้ทั้งกล้องถ่ายภาพ และสมาร์ทโฟน ซึ่งปัจจุบันก็มีสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถถ่ายภาพทางช้างเผือกได้สวยงามไม่แพ้กล้องใหญ่ ๆ กันเลยทีเดียว