น่านเมืองเล็กๆ กลางหุบเขา เจิดจรัสด้วยธรรมชาติอันโดดเด่น จากภูเขาสลับซับซ้อน ทุ่งนาขั้นบันได ทะเลหมอกสวย เสน่ห์เมืองเก่า วัฒนธรรมล้านนา บอกได้เลยว่าไม่เกินจริง
เรามาเที่ยวน่านครั้งแรก ที่เที่ยวน่าน 2567 ไม่เพียงดื่มด่ำวิถีสโลว์ไลฟ์ แต่ยังมีกิจกรรมแอ็ดเวนเจอร์ ทำเราโดนตกไปเต็มๆ ยิ่งมาเที่ยวน่านหน้าฝนด้วยแล้ว โลกทั้งใบเป็นสีเขียว รีทรีตจิตใจได้เป็นอย่างดี
ทริปเที่ยวน่านของเรา จะตะลุยเที่ยวกันในเส้นทาง น่าน-สะปัน-บ่อเกลือ-ปัว จัดเต็มไปเลย 3 วัน 4 คืน โดยวันแรกของค่ำคืนนี้ จะมุ่งหน้าสู่ เที่ยวสะปัน เป็นจุดแรก สะปัน หมู่บ้านเล็กๆท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา ที่อุดมไปด้วยหมอกสลัว ๆ ลอยพริ้วไหว
ระหว่างเส้นทางไป สะปัน มีจุดเช็คอินสุดว๊าว แถวอำเภอสันติสุข ที่ต้องแวะเลย นั่นก็คือ “บาหลี น่าน” อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของน่าน
ที่มีการออกเป็นประตูโบราณ คล้ายคลึงกับ ประตูสวรรค์ “Pura Lempuyang Door” ที่เที่ยวชื่อดังของบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่นี่คิดค่าบริการ 50 บาท
ไปถึงแค่ส่งมือถือให้น้องพนักงานประจำจุดถ่ายรูปให้ ส่วนเราก็โพสต์ท่าสวยๆรัวๆไป ก็ได้ภาพสุดจึ้งประตูสวรรค์แห่งบาหลีน่าน วิว 360 องศา ไปแบบงามๆ
ทั้งยังสามารถนำบัตรค่าเข้าชม ไปใช้เป็นส่วนลดในร้านคาเฟ่ที่อยู่ติดกัน อย่าง “กิ่วม่วงเบสแคมป์” ได้ด้วย
อีกจุดเช็คอินยอดฮิตระหว่างทาง ที่สายทำคอนเท้นท์พลาดไม่ได้ คือ การไปถ่ายรูปถนนโค้ง บริเวณจุดชมวิวถนนหมายเลข 3 หรือเส้นทางถนนหมายเลข 1081 ถนนสวยแปลกตาไปเต็มๆ เพลิดเพลินกันไปกว่าจะไปถึงสะปันก็เย็นพอดี
เราพักกันที่ “บอกฮักบ้านสะปัน” รีสอร์ตเล็ก ๆ ใจกลางหุบเขา ที่พักกลมคลืนกับธรรมชาติ มีแอร์นอนสบาย ช่วงนี้หน้าฝนทางรีสอร์ตเลยปลูกข้าวเต็มพื้นที่
ฟิลลิ่งการนอนอยู่บนนาข้าว มันดีแบบนี้เอง ส่วนถ้ามาในฤดูอื่นพื้นที่นาข้าว ก็จะถูกแปลงเป็นดอกไม้ต่างๆที่หมุนเวียนกันไป อาทิ ดอกคัดเตอร์
ตื่นมาตอนเช้ามองขึ้นไปบนเขา โอโห ! สายหมอกสลัวโอบล้อมขุนเขา วิวสุดเลิศ จากนั้นคว้าจักรยานที่มีบริการในรีสอร์ตมาปั่นชมบรรยากาศเมืองสะปันยามเช้า ชิลล์มากๆ กับทัศนียภาพของชุมชนเล็กๆน่ารัก วิถีการใช้ชีวิตเรียบง่ายของผู้คน
เราปั่นไปชม “สะพานโบราณหมู่บ้าน” เป็นสะพานแขวนเล็ก ๆ ข้ามลำน้ำว้า ต่อด้วยปั่นขึ้น “สะพานร่วมใจสามัคคี” เป็นสะพานรถยนต์สัญจรไปมา ชมวิวลำน้ำปาด ไหลมาบรรจบลำน้ำว้า ทั้งจากในตัวชุมชนยังมีทางแยกให้เราปั่นไปชม “น้ำตกสะปัน”
จากจุดทางเข้าน้ำตก เราเดินเท้าต่อขึ้นไปชมน้ำตกในชั้นต่างๆได้ ซึ่งมี 3 ชั้น ระยะทางทางราว 800 เมตร ทั้งระหว่างทางเดินขึ้นน้ำตกจะมีน้องหมาแสนรู้ในชุมชนนำทางเราด้วยนะ น่ารักมาก รับค่าจ้างเป็นหมูปิ้ง ตอนขากลับ ซึ่งก็มีขายอยู่หน้าทางเข้าน้ำตก
พอเรากลับถึงรีสอร์ท สายฝนพรำ ยิ่งให้บรรยากาศโรแมนติกชวนฝันมากๆสำหรับเมืองสะปันแห่งนี้
ก่อนโบกมือลาเมืองสะปัน พลาดไม่ได้กับการแวะ “วัดสะปัน” กราบสักการะ “หลวงพ่อยิ่งยอดดอยสะปัน” และ “พระไชยมงคล” พระพุทธรูปกลางแจ้งองค์สีขาวเด่น ประดิษฐานอยู่บนเนินเขา
อีกทั้งบริเวณหน้าวัดยังเป็นจุดชมวิว หลายคนมักมาถ่ายภาพกับทัศนียภาพเบื้องล่าง ที่เต็มไปด้วยทุ่งนาผืนใหญ่ท่ามกลางขุนเขา
ใกล้กันยังมีร้านคาเฟ่ชื่อ “หยุดเวลา” ให้เราได้นั่งจิบเครื่องดื่มชมวิวท้องทุ่งนาสุดลูกหูลูกตาด้วย
จุดเด่นของที่นี่คือการใช้กาแฟ 2 สายพันธุ์ คือ กาแฟจากอ.บ่อเกลือ และกาแฟจากสวยยาหลวง น่าน ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร และเครื่องดื่มฮ้อตฮิตของที่นี่คือ อโวคาโดสตรอเบอร์รี่ อโวคาโดนมสด รสสัมผัสละมุนมาก
จากนั้นถึงเวลามุ่งหน้าสู่ “บ่อเกลือ” เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้เห็นวิธีการทำเกลือสินเธาว์แบบชาวบ้าน ซึ่งนำน้ำจากบ่อเกลือโบราณ 800 ปี มาผลิตเกลือ
เราสามารถเข้าไปชมและลองสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด และที่นี่ยังมีของฝากที่ทำจากเกลือหลากหลายให้ช้อปมากมาย อาทิ สบู่เกลือ ดอกเกลือ เกลือสมุนไพร เป็นโอท็อปเด็ดของที่นี่
เราใช้เวลาอยู่ที่บ่อเกลือสักพัก ก็พร้อมแล้วสำหรับเดินทางต่อไปยัง “ปัว” แวะเติมความหวานกันที่“COCOA VALLEY” (โกโก้ วัลเล่ย์ คาเฟ่)
ชิมโกโก้สดจากสวน ที่นำมาแปรรูปเป็นช็อตโกแลตแท้ 100% เป็นโกโก้แบบอินทรีย์วีถีไทย ร้อน-เย็น เลือกได้ตามชอบ ทั้งยังสามารถเลือกระดับความเข้มของโกโก้ได้ 4 ระดับ (Standard,Medium dark,Double Dark และ Super dark)
เราสั่ง Double Dark สัมผัสเข้มข้นชอบเลย ทานคู่กับช็อคโดม หรือช็อคลาวา สายโกโก้ห้ามพลาด
ก่อนจะปิดท้ายค่ำคืนที่เมืองปัว กันที่ “น่านนิรันดร์” รีสอร์ตเล็กๆที่มีความเก๋ของห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น มีทั้ง 1 ห้องนอน และห้องพักหลังใหญ่ 3 ห้องนอน มาเป็นแก๊งสนุกเลย
ปัว ยังมีคาเฟ่เก๋ๆที่เป็นจุดท่องเที่ยว อย่าง “โรงบ่มปัว คาเฟ่ แอนด์ อีทเทอรี่” ซึ่งที่นี่รีโนเวทมากจากโรงบ่มยาสูบที่ถูกทิ้งล้างมานานหลายทศวรรษ เปลี่ยนให้เป็นคาเฟ่สุดคลาสสิค มีมุมถ่ายรูปปังๆเพียบ
น่านไม่ได้มีดีแค่วิถีสโลว์ไลฟ์เท่านั้น ยังมีกิจกรรมแอ๊ดเวนเจอร์ ที่บอกเลยว่ามันส์มากๆ คือ การขับรถ ATV ของ “สยาม เอทีวี” ซึ่งเป็นการให้บริการ ATV แห่งเดียวในน่าน
การขับ ATV เข้าสวนลำใย ขึ้นเขา ลงห้วยหลบกิ่งไม้ เข้าชมนาข้าวสนุกมากๆ ขนาดเราไม่เคยขับยังฟินมาก ยิ่งใครขับเก่งๆ จะมีเส้นทางโหดๆให้ได้ท้าพิสูญจน์อีกด้วย
ไหนๆมาน่านทั้งที การค้างคืนเที่ยวตัวเมืองน่าน ชมเสน่ห์ตัวเมือง ก็น่าสนใจ ไม่น้อย โดยเฉพาะการเดินทางไป “วัดภูมินทร์” วัดหลวง อยู่คู่เมืองน่านมากกว่า 400 ปี
ภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนัง ถ่ายทอดเรื่องของพุทธประวัติ คันธกุมารชาดก พุทธชาดก ตำนานพื้นบ้าน เป็นจิตกรรมฝาผนังลายเส้นสวยงามทั้ง 4 ด้าน เป็นศิลปกรรมแบบไทลื้อ สะท้อนความงดงามแห่งล้านนา โดยหนึ่งในภาพเลื่องชื่อ คือ “กระซิบรัก” นั่นเอง
ส่วนใครชอบของเก่าคู่บ้านคู่เมืองน่าน มาที่ “พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ น่าน” คือครบจบ ไฮไลต์ภายในพิพิธภัณฑ์มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “งาช้างดำ” ของล้ำค่าคู่เมืองน่าน ซึ่งเดิมเป็นสมบัติของเจ้าผู้ครองนครน่าน “หีบพระธรรม” เป็นต้น
ทั้งด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ ยังมีโบราณสถานที่เรียกว่า “วัดน้อย” ในอดีตเชื่อว่าเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย
ที่เป็นเช่นนี้มาจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่าพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้านครเมืองน่านกราบบังคมทูลถึงจำนวนวัดในเขตเมืองน่านต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่เกินไปหนึ่งวัด จึงได้สร้างวัดน้อยแห่งนี้ขึ้น และเชื่อกันว่าเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย
แต่จากการขุดแต่งไม่พบสิ่งก่อสร้างอื่นที่เป็นองค์ประกอบของวัด เช่น กำแพงแก้ว เจดีย์ วิหาร เป็นต้น ประกอบกับรูปแบบและสถานที่ตั้งซึ่งอยู่บริเวณต้นโพธิ์กลางใจเมือง วัดน้อยจึงน่าจะเป็น "หอเสื้อเมือง" มากกว่าที่จะเป็นวัด
อีกจุดไฮไลท์ของที่นี่อย่าพลาดไปถ่ายภาพกับซุ้มอุโมงค์ต้นลีลาวดีตรงหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์
ก่อนจะปิดทริปน่านกันที่ “พระธาตุแช่แห้ง” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองน่าน และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิด ของคนที่เกิดปีเถาะ ขอพรก่อนบินกลับกรุงเทพแบบสุขใจ
สุขทันที เที่ยวเมืองน่าน สมกับแคมเปญโปรโมทเมืองน่าเที่ยวของททท.ยุคนี้เลย