เริ่มเข้าใกล้ความจริงกับสปอร์ตคาร์ หรือรถยนต์สมรรถนะสูง จะเลิกทำตลาดรุ่นเครื่องยนต์แรงๆ บล็อก 6 สูบ หรือ วี8 พร้อมรีดกำลังด้วยเทอร์โบ-เทอร์โบคู่ โดยหลายค่ายรถยนต์ส่งสัญญาณชัดเจนว่า รถยนต์สูบนํ้ามันเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า เป็น สปอร์ตคาร์ EV
จากข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ประกาศยุทธศาสตร์รถพลังงานไฟฟ้า 100% EV ใหม่ โดยยืนยันว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้(ปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573) เบนซ์จะเลิกผลิตรถใช้น้ำมัน หรือเบนซ์จะเลิกผลิตรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ICE นั่นหมายถึง เบนซ์ขยับแผน EV 100% มาเร็วขึ้น 9 ปี ภายใต้เงินลงทุนรวมในการพัฒนาโครงการกว่า 1.56 ล้านล้านบาท
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดเผยว่า ภายในปี 2565 จะมี EV แทรกอยู่ในทุกโมเดลหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เอสยูวี และรถตู้ และปี 2568 พร้อมเลิกพัฒนารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่สำหรับ EV แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ MB.EA สำหรับรถขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มรถบ้านทั่วไป VAN.EA สำหรับรถตู้ แต่ที่น่าสนใจคือการมีแพลตฟอร์ม EV โดยเฉพาะสำหรับตัวแรง Mercedes AMG ที่เรียกว่า AMG.EA
ปัจจุบัน Mercedes AMG ในรุ่นท็อปๆ อย่าง GT C ,GT R และกลุ่มรหัส 63 ใช้เครื่องยนต์วี8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (ส่งให้ แอสตัน-มาร์ติน ด้วย) แต่จากยุทธศาสตร์ใหม่ที่บริษัทแม่ประกาศออกมา นั่นเท่ากับว่าเครื่องยนต์บล็อกมหาเทพนี้ก็เตรียมตัวนับถอยหลังออกจากตลาดเช่นกัน
อนาคตของ Mercedes AMG จะเป็นรุ่นขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EV แน่นอน เพราะเมอร์เซเดส-เบนซ์ วางแผนด้านเทคโนโลยีเอาไว้เรียบร้อย ด้วยการที่ เบนซ์เข้าไปซื้อกิจการของสตาร์ทอัพ YASA บริษัทผู้พัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงในสหราชอาณาจักร
โดยมอเตอร์ไฟฟ้าของ YASA ใช้นวัตกรรมใหม่ “มอเตอร์ฟลักซ์แนวแกน” (axial-flux) ที่ให้พละกำลังสูง มีประสิทธิผลต่อนํ้าหนักดีกว่ามอเตอร์เดิมๆ ซึ่งการเข้าไปถือหุ้น 100% ใน YASA จะช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเจเนอเรชันต่อไป
นายโอลา คัลเลเนียส ประธานบริหาร เดมเลอร์ เอจี และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงในเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเซกเมนต์รถยนต์ระดับลักชัวรี ที่มีเมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นผู้นำ จุดเปลี่ยนกำลังใกล้เข้ามาและเรามีความพร้อมที่จะตอบรับความเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยการมุ่งสู่การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเท่านั้นภายในสิ้นทศวรรษนี้
“สถานการณ์สำหรับการขายรถยนต์ใหม่จะปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ภายในสิ้นทศวรรษนี้ สิ่งที่สำคัญคือการเพิ่มรายได้สุทธิต่อหน่วยโดยการเพิ่มสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เช่น Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG ในขณะเดียวกันกับที่เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถควบคุมราคาและการขายได้โดยตรงมากขึ้น ด้วยแพลตฟอร์มแบตเตอรี่ทั่วไปและโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้ รวมทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ จะช่วยให้เกิดมาตรฐานที่สูงขึ้นในต้นทุนที่ตํ่าลง” นายคัลเลเนียส กล่าว
นั่นเป็นความชัดเจนตามโครงสร้างธุรกิจรถพลังงานไฟฟ้า 100% EV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในซับแบรนด์อย่าง Mercedes-AMG หากยึดตามแผนนี้ ภายในระยะเวลาอันใกล้จะไม่มีรุ่นเครื่องยนต์ ICE ทำตลาด
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ที่แสดงความชัดเจนถึงกำหนดการมาของ EV เร็วขึ้นแต่ยังไม่มีใครกล้ายืนยันว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์คันสุดท้ายจะหยุดการผลิตเมื่อไหร่ โดยเงื่อนไขการทำตลาดรถ ICE จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในประเทศนั้นๆ
อีกหนึ่งค่ายเยอรมนี “ปอร์เช่” ในเครือโฟล์คสวาเกนที่ขยับแผน EV อย่างรวดเร็ว และเพิ่งเปิดเผยผลผลิตจากการตั้งบริษัทใหม่ Bugatti Rimac โดย ปอร์เช่ ถือหุ้น 45% และ Rimac 55% นั่นคือ ไฮเปอร์คาร์ Bugatti Chiron (ส่วน Rimac รุ่น Nevera)
นายโอลิเวอร์ บลูม ประธานกรรมการบริหาร ปอร์เช่เอจี เปิดเผยว่า เราได้นำประสบการณ์อันแข็งแกร่งของ Bugatti ในธุรกิจไฮเปอร์คาร์กับนวัตกรรมของ Rimac รวมไว้ด้วยกัน เพื่อจุดประสงค์ในการพัฒนายานพาหนะพลังงานไฟฟ้า
ล่าสุด ปอร์เช่ เอจี เปิดเผยยอดขายครึ่งปีแรก 2564 รวมทั่วโลกทำได้ 153,656 คัน เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ในจำนวนนี้แบ่งเป็น ปอร์เช่ คาเยนน์ 44,050 คัน ปอร์เช่ มาคันน์ 43,618 คัน ปอร์เช่ 911 จำนวน 20,611 คัน
ที่น่าสนใจคือ EV ปอร์เช่ไทคานน์ ทำยอดขายมาเป็นอันดับ 4 ด้วยจำนวน 19,822 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับยอดขายในปี 2563 ทั้งปี ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ผู้ซื้อไทคานน์ 70% เป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีปอร์เช่มาก่อน