ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองการเปลี่ยนผ่านภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่ฐานผลิตรถ EV อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) นับตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะการลงทุนที่ชาร์จรถ EV ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของอุตสาหกรรม
ในระยะต่อไป ttb analytics มองว่า ยอดขายรถ EV มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 28.8% (CAGR 2566-2573) ตามการเปลี่ยนผ่านภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไปสู่ฐานผลิตรถ EV อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้ามากลืนยอดขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) ที่อาจหดตัวถึงปีละ 9.6% และ 6.6% โดยคาดว่า ในปี 2569 ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง EV สะสมจะสูงถึง 2.92 แสนคันทั่วประเทศ
ขณะที่จุดชาร์จ EV ttb analytics ประเมินว่า จุดชาร์จ EV สาธารณะทั่วประเทศสะสมทั้งแบบกระแสสลับ (AC) และแบบกระแสตรง (DC) จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 29.1% ซึ่งจะทำให้ไทยมีจำนวนที่ชาร์จ EV สะสมแตะ 1 หมื่นหัวจ่ายได้ในปี 2569
สำหรับผู้ประกอบการแล้ว การลงทุนตั้งต้นในการติดตั้งที่ชาร์จ EV เชิงพาณิชย์ยังมีต้นทุนค่อนข้างสูง จากอัตราคืนทุนในการลงทุนที่ชาร์จแบบกระแสสลับ (AC level 1) และกระแสตรง (DC fast charge) ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.0-2.9 ปี และ 2.3-7.0 ปี ตามลำดับ ดังนั้น การลงทุนจุดชาร์จรถ EV ในระยะแรกจึงอาจเหมาะกับการจัดสรรพื้นที่ต่อยอดจากธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มรายได้แก่ธุรกิจทางอ้อมและสร้างการรับรู้ในภาพรวม
ฉะนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณาถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบด้านทำเลที่ตั้งก่อนตัดสินใจลงทุน อย่างเช่นการติดตั้งจุดชาร์จเพื่อต่อยอดรายได้ของธุรกิจหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างรายได้ทางตรงจากค่าอัดประจุไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยเพิ่มรายได้ทางอ้อมแก่ธุรกิจหลักจากการเข้ามาใช้บริการระหว่างชาร์จได้อีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญ ผู้ประกอบการควรต้องพิจารณายี่ห้อของผู้ให้บริการติดตั้งจุดชาร์จรถ EV (Charging Installation and Service Operators) ที่มีเครือข่ายแพลตฟอร์มบนหน้าแอปพลิเคชัน (E-Service Platform) ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความยุ่งยากในการดูแลรักษาหลังการขายแล้ว ยังช่วยสร้างการรับรู้ให้ธุรกิจหลักเป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการประชาสัมพันธ์บนแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มที่ชาร์จรถ EV (EV Charging Application) อีกด้วย