ภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยยังคงร่วง ดังจะเห็นจากยอดขายตั้งแต่มกราคม -พฤษภาคม 2567 ที่ทำได้ 260,365 คัน ลดลง 23.8% โดยในเซกเมนต์ที่ตัวเลขการขายหดตัวลงอย่างรุนแรงคือ รถเพื่อการพาณิชย์ อย่าง พวกรถปิกอัพ พีพีวี ที่มียอดขาย 5 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 91,765 คัน ลดลง 41% อย่างไรก็ตามในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า xEV ยังคงมีอัตราการขายที่เติบโต
ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 260,365 คัน ลดลง 23.8%
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 101,589 คัน ลดลง 17.9%
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย158,776 คัน ลดลง 27.1%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 91,765 คัน ลดลง 41%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 16,255 คัน
โตโยต้า 5,999 คัน ,อีซูซุ 5,110 คัน ,ฟอร์ด3,694 คัน ,มิตซูบิชิ 1,255 คัน , นิสสัน 197 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 75,510 คัน ลดลง 40.8%
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายน 2567 คาดว่าจะดีขึ้นจากเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงฟื้นตัวช้าและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อยังคงตัวในระดับสูง
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศหดตัวลงนั้น เป็นเพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวในอัตราต่ำจากการล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้การลงทุนของภาครัฐลดลง โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงติดต่อกันมากกว่าสิบเดือน โรงงานหลายแห่งลดเวลาทำงานลงและมีการเลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นคน ทำให้ขาดรายได้ ประชาชนจึงระมัดระวังการใช้จ่ายเพราะความไม่แน่นอนในเรื่องรายได้รวมทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทางและพลังงานมีราคาสูงขึ้น
"สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก เพราะกังวลเรื่องหนี้ครัวเรือน อย่างไรก็ตามหากในช่วงครึ่งปีหลังรัฐฯมีการอนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายต่างๆออกมา รวมไปถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยก็น่าจะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คาดหวังว่าต้นทุนราคาสินค้าต่างๆจะไม่ขึ้นตามไปด้วย ส่วนเศรษฐกิจจะขยายตัวถึง 3 % หรือไม่ ยังน่ากังวลถ้ายอดผลิตรถยนต์และขายรถยนต์ และขายอสังหาริมทรัพย์ยังติดลบ เพราะทั้งสองอุตสาหกรรมมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องและแรงงานมากซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศมาก"