เมื่อ“บิ๊กต่อ” หวนเก้าอี้ ผบ.ตร. “บิ๊กต่าย”ต้องเร่งขอขมา “บิ๊กโจ๊ก”

22 มิ.ย. 2567 | 02:54 น.

พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ วิเคราะห์เมื่อ“บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หวนเก้าอี้ ผบ.ตร. “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ต้องยอมรับสภาพหมดโอกาสเป็น ผบ.ตร.แล้ว ควรเร่งขอขมา “บิ๊กโจ๊ก”

หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีคืนตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.ให้กับ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 67 หลังได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567

รายการ “เข้าเรื่อง” เผยแพร่ทางยูทูป ฐานเศรษฐกิจ ได้สนทนากับพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ระบุว่าไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ เพราะเชื่อว่าก่อนที่จะมีการออกคำสั่งให้ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องมีการคุยกันมาก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นการดำเนินการของรัฐบาลอาจเกิดการสะดุดติดขัดได้  

เมื่อ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็ส่งผลให้ ”บิ๊กต่าย“ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ้นจากการเป็นรักษาการ ผบ.ตร. ไปโดยปริยาย ฉะนั้น “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ต้องยอมรับสภาพแล้วว่าวันนี้หมดโอกาสเป็น ผบ.ตร.แล้ว

ต้องคิดแล้วว่าเกมนี้เดินพลาด เพื่อให้บรรยากาศของ สตช.เกิดความสามัคคี ควรรีบไปขอโทษ ขอขมา “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วคุยกันแบบแฟร์ๆ “บิ๊กโจ๊ก” อาจยอมได้ แต่หากนิ่งเฉยย่อมตายลูกเดียว เพราะการออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เปรียบเหมือนการฆ่ากันทั้งเป็น

ซึ่งเมื่อมีการตีความโดยกฤษฎีกามาแล้ว พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ควรต้องพิจารณาและหาทางแก้ไข จากการที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะหากถูกฟ้องร้องจะถูกฟ้องเรื่องมีเจตนาพิเศษ เนื่องจากเป็นรอง ผบ.ตร.ลำดับ2 ต่อจากพล.ต.อ.สุรเชษฐ์  

ในขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถเร่งฟ้องศาลปกครองได้ เพราะถือว่ายังไม่ถูกให้ออกจากราชการ แต่กลับไม่ได้รับเงินเดือน ไม่ได้รับการมอบหมายงาน ไม่ถูกเชิญเข้าประชุม ก.ตร. ทั้งที่เป็นกรรมการ ก.ตร.โดยตำแหน่ง

เมื่อ“บิ๊กต่อ” หวนเก้าอี้ ผบ.ตร. “บิ๊กต่าย”ต้องเร่งขอขมา “บิ๊กโจ๊ก”

สำหรับการเสนอแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่จะเริ่มขึ้นช่วงปลายเดือนสิงหาคม ถึงต้นเดือนกันยายน ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้นำรายชื่อรอง ผบ.ตร.หรือจเรตำรวจ ให้ก.ตร.พิจารณามีความเห็น ซึ่งครั้งที่ผ่านมานำอาวุโสลำดับที่ 4 ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ทั้งที่พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เป็นอาวุโสลำดับที่ 1 ซึ่งหากครั้งนั้น พล.ต.อ.รอย ฟ้องไปยังคณะกรรมการระบบคุณธรรมย่อมต้องมีการวินิจฉัยเรื่องข้ามลำดับอาวุโส

ดังนั้นการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ครั้งนี้ หากไม่เสนอชื่อผู้มีอาวุโสลำดับ1 คือ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย่อมเกิดการฟ้องร้องขึ้นได้ ทั้งยังสามารถฟ้องศาลอาญาทุจริตได้อีกด้วย เนื่องจาก“บิ๊กโจ๊ก”ถือเป็นผู้เสียหายโดยตรง ดังนั้นใครที่จะไม่ทำตามกฎหมายต้องคิดให้ดีว่าคุ้มหรือไม่